สำนวนฝรั่งเศสในศตวรรษที่ 17 “ผู้ที่มีความรู้มีค่าเท่ากับสองคน” ใช้เพื่อบอกว่า คนที่มีความรู้รอบด้านจะมีความระมัดระวังมากขึ้นและเป็นผู้ที่น่าเกรงขามในสายตาของศัตรู คำกล่าวนี้ยังคงใช้ได้ดีในปัจจุบัน และเหมาะอย่างยิ่งกับตลาดการเงินและการลงทุนโดยทั่วไป ก่อนลงทุนในตลาดการเงิน สิ่งสำคัญคือคุณต้องมีความรู้และผ่านการฝึกฝน เพื่อให้สามารถตัดสินใจอย่างมีข้อมูลครบถ้วน แม้ว่าคุณจะไม่อยากเป็นเทรดเดอร์ หรือไม่อยากเทรดเลย การเข้าใจพื้นฐานบางอย่างก็ยังเป็นประโยชน์
ก่อนอื่น คุณต้องเข้าใจว่ามีเทรดเดอร์หลายล้านคนทั่วโลก ในความเป็นจริง สิ่งที่เทรดเดอร์ต้องมีเพียงแค่เงิน และคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตก็สามารถเริ่มเทรดได้ แต่ตลาดการเงินมีความเสี่ยง และเพียงแค่สองสิ่งนั้นไม่เพียงพอที่จะเป็นเทรดเดอร์หรือผู้ลงทุนที่ประสบความสำเร็จ หลายคนไม่รู้ว่าการเทรดออนไลน์คืออะไร หรือที่แย่กว่านั้นคือมีเทรดเดอร์มือใหม่จำนวนมากที่ไม่มีแผนกลยุทธ์การลงทุนที่ชัดเจน ยังมีความเข้าใจผิดมากมายที่หมุนเวียนอยู่บนอินเทอร์เน็ต และมักทำให้นักลงทุนสับสน
ดังนั้น สิ่งสำคัญคือการทำความเข้าใจข้อมูลที่ถูกต้องและเริ่มต้นด้วยพื้นฐานที่มั่นคงและเชื่อถือได้ มาดูกันว่าเป็นอย่างไร
ประเด็นหลัก
- การเทรดเป็นสิ่งสำคัญต่อการทำงานของตลาด: ช่วยเพิ่มสภาพคล่อง ช่วยในการกำหนดราคา และสนับสนุนประสิทธิภาพโดยรวมของตลาดการเงิน
- การมุ่งเน้นระยะสั้น: โดยทั่วไปแล้ว การเทรดจะเกี่ยวข้องกับกลยุทธ์ระยะสั้นที่มุ่งเป้าไปที่การใช้ประโยชน์จากความผันผวนของตลาด ซึ่งแตกต่างจากการลงทุนระยะยาว
- การบริหารความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญ: เทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จใช้เครื่องมือต่างๆ เช่น คำสั่งตัดขาดทุน (Stop-loss order) และใช้ประโยชน์จากเลเวอเรจอย่างระมัดระวังเพื่อปกป้องเงินทุนและลดการขาดทุนให้น้อยที่สุด
- ความรู้เกี่ยวกับตลาดเป็นแรงผลักดันความสำเร็จ: การทำความเข้าใจอุปสงค์และอุปทาน แนวโน้มตลาด และกลยุทธ์การเทรดเป็นกุญแจสำคัญในการตัดสินใจอย่างชาญฉลาด
- อารมณ์สามารถส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพ: การเทรดต้องอาศัยวินัยและความสามารถในการจัดการกับอารมณ์ เช่น ความโลภและความกลัว เพื่อหลีกเลี่ยงการตัดสินใจที่ไม่ดี
- เลเวอเรจเพิ่มทั้งกำไรและขาดทุน: แม้ว่าเลเวอเรจจะสามารถเพิ่มผลกำไรได้ แต่ก็เพิ่มความเสี่ยง ทำให้การบริหารความเสี่ยงมีความสำคัญยิ่งขึ้น
- การเทรดเสริมการลงทุน: การเรียนรู้แนวคิดการเทรดจะช่วยเพิ่มความสามารถในการจัดการพอร์ตการลงทุนและบรรลุเป้าหมายทางการเงิน
- สำคัญ: โปรดจำไว้ว่าเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดอาจส่งผลกระทบต่อเทรดเดอร์ นำไปสู่ความผันผวนของราคาสินทรัพย์ที่มากเกินไป สิ่งที่เรียกว่า “หงส์ดำ” ขนาดใหญ่หรือเล็กกว่านั้น ซึ่งเกี่ยวข้องกับสินค้าโภคภัณฑ์ สกุลเงิน หรือหุ้น มักเข้าสู่ตลาดเกือบทุกวัน โชคมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการซื้อขาย และอาจนำไปสู่ทั้งกำไรและขาดทุนของเทรดเดอร์
การเทรดคืออะไร?
![หมีà¹à¸¥à¸°à¸à¸£à¸°à¸à¸´à¸à¸à¹à¸à¸ªà¸¹à¹à¸à¸±à¸à¸à¸¢à¹à¸²à¸à¸à¸¸à¹à¸à¸·à¸à¸à¸à¸à¸à¸·à¹à¸à¸«à¸¥à¸±à¸à¸ªà¸µà¸à¹à¸³à¹à¸à¸´à¸ สืà¹à¸à¸à¸¶à¸à¸à¸²à¸£à¸à¹à¸à¸ªà¸¹à¹à¸£à¸°à¸«à¸§à¹à¸²à¸à¸à¸¥à¸±à¸à¸à¸¥à¸²à¸]()
image: Adobe Stocks
วิธีที่ดีที่สุดในการวิเคราะห์การซื้อขายคือการเริ่มจากความหมายของคำศัพท์ คำว่า "การเทรด" (Trading) หมายถึงการซื้อขายในภาษาอังกฤษ ในบทความนี้ เรากำลังกล่าวถึงการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงินเช่น หุ้น , สินค้าโภคภัณฑ์, สกุลเงิน (Forex) พันธบัตร หรือแม้แต่สกุลเงินดิจิทัล บางครั้งเราก็ได้ยินเกี่ยวกับ “การเทรดออนไลน์” โดยคำว่า "ออนไลน์" หมายถึงการที่การซื้อขายในปัจจุบันเกิดขึ้นเฉพาะบนอินเทอร์เน็ต ผ่านแพลตฟอร์มการซื้อขายออนไลน์โดยใช้โทรศัพท์หรือคอมพิวเตอร์
เมื่อวอร์เรน บัฟเฟตต์ หนึ่งในนักลงทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ เริ่มต้นเส้นทางในตลาดการเงิน อินเทอร์เน็ตยังไม่เกิดขึ้น และการส่งคำสั่งซื้อขายต้องทำผ่านธนาคารทางโทรศัพท์ หรือเดินทางไปด้วยตัวเองเพื่อส่งคำสั่งภายใน “หลุมซื้อขาย” (trading pit) โดยใช้ภาษาส่งสัญญาณที่เคยนิยมในอดีต เรียกว่า “open outcry”
ปัจจุบัน การเทรดเชิงเทคนิคทำได้สะดวกขึ้นมาก แต่ก็ยังคงมีความเสี่ยงสูงเช่นเดิม และแม้เทคโนโลยีจะพัฒนาไปไกล กฎเกณฑ์สำคัญของตลาดก็ยังไม่เปลี่ยนไปมากนัก บางคนยังไม่เข้าใจบทบาทแท้จริงของการเทรดในตลาดการเงิน บทความนี้จะช่วยให้คุณเห็นภาพชัดเจนขึ้น.
บทบาทของการเทรด
การซื้อขายมีบทบาทสำคัญในตลาดการเงิน ทำหน้าที่เหมือนเครื่องยนต์ที่ช่วยให้ระบบดำเนินไปอย่างราบรื่น โดยพื้นฐานแล้ว การซื้อขายหมายถึงการซื้อและขายสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น หุ้น พันธบัตร สินค้โภคภัณฑ์ และสกุลเงิน แต่ทำไมการซื้อขายถึงสำคัญขนาดนี้ และมันส่งผลต่อเศรษฐกิจและนักลงทุนแต่ละคนอย่างไร
1. การสร้างสภาพคล่อง
ลองจินตนาการถึงตลาดที่ไม่มีใครซื้อหรือขายแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ การซื้อขายช่วยสร้างสภาพคล่อง ซึ่งหมายความว่ามีผู้ซื้อและผู้ขายเพียงพอที่จะทำธุรกรรมได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ สิ่งนี้เป็นประโยชน์ต่อทุกคน ตั้งแต่สถาบันขนาดใหญ่ไปจนถึงนักลงทุนรายบุคคล โดยช่วยให้ตลาดมีความเคลื่อนไหวและมีชีวิตชีวา
2. การค้นพบราคา
การซื้อขายช่วยกำหนดมูลค่าที่เหมาะสมของสินทรัพย์ผ่านกลไกอุปสงค์และอุปทาน เมื่อผู้ซื้อขายซื้อและขาย พวกเขาจะส่งผลต่อราคาตามสภาพตลาด ปัจจัยเศรษฐกิจ และความรู้สึกของนักลงทุน กระบวนการนี้เรียกว่า “การค้นพบราคา” ซึ่งมีความสำคัญต่อการตั้งราคาตลาดที่โปร่งใสและสมเหตุสมผล
3. การบริหารความเสี่ยง
ตลาดมีความไม่แน่นอน แต่การซื้อขายช่วยให้นักลงทุนสามารถป้องกันความเสี่ยงได้ ตัวอย่างเช่น เกษตรกรอาจขายสัญญาฟิวเจอร์สเพื่อ “ล็อกราคา” ผลผลิตให้คงที่ ลดผลกระทบจากความผันผวนของตลาด ผู้เข้าร่วมกลุ่มนี้เรียกว่า "commercials" (ผู้ประกอบการเชิงพาณิชย์) ซึ่งมักเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ เช่น บริษัทด้านการเกษตรต่าง ๆ ในทำนองเดียวกัน นักลงทุนก็สามารถกระจายพอร์ตและบริหารความเสี่ยงผ่านการทำธุรกรรมในตลาดได้เช่นกัน
4. การเติบโตทางเศรษฐกิจ
การซื้อขายกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการระดมทุนให้กับธุรกิจ เมื่อบริษัทออกหุ้นหรือพันธบัตร การซื้อขายสินทรัพย์เหล่านี้ช่วยให้บริษัทมีเงินทุนเพื่อการเติบโตและนวัตกรรม ตลาดซื้อขายที่แข็งแรงสะท้อนถึงเศรษฐกิจที่เจริญรุ่งเรือง
5. โอกาสในการลงทุน
การซื้อขายเปิดโลกของโอกาสการลงทุน ทำให้นักลงทุนสามารถเพิ่มความมั่งคั่งของตนได้ ไม่ว่าคุณจะเป็นนักลงทุนระยะยาวหรือผู้ซื้อขายระยะสั้น ตลาดก็มีตัวเลือกให้ตรงกับเป้าหมายและความเสี่ยงของคุณ อย่างไรก็ตาม นักลงทุนทุกคนควรเข้าใจว่าการซื้อขายมีความเสี่ยงสูง และอาจทำให้สูญเสียทุนจำนวนมาก
การซื้อขายไม่ใช่เพียงเครื่องมือหากำไรเท่านั้น แต่เป็นรากฐานของตลาดการเงิน ช่วยกำหนดรูปแบบเศรษฐกิจ รองรับการบริหารความเสี่ยง และสร้างโอกาสในการเติบโต การเข้าใจบทบาทของมันคือก้าวแรกสู่การเป็นนักลงทุนที่มีความรู้และมั่นใจ สำหรับผู้เริ่มต้น การเข้าใจพื้นฐานของการซื้อขายคือประตูสู่การตัดสินใจลงทุนอย่างชาญฉลาด แน่นอน การซื้อขายมีความเสี่ยงสูง และไม่ใช่นักลงทุนทุกคนที่จะรู้สึกสบายใจเมื่อต้องซื้อขายอย่างสม่ำเสมอ
การเทรดทำงานอย่างไร?
![มีà¸à¸¸à¸à¸à¸¥à¸ªà¸²à¸¡à¸à¸à¸à¸³à¸¥à¸±à¸à¸à¸±à¹à¸à¸à¸µà¹à¹à¸à¹à¸° à¸à¸³à¸à¸²à¸à¸à¸¢à¹à¸²à¸à¸à¸±à¹à¸à¹à¸à¸à¹à¸à¸«à¸à¹à¸²à¸à¸à¸à¸à¸¡à¸à¸´à¸§à¹à¸à¸à¸£à¹à¸«à¸¥à¸²à¸¢à¸à¸à¸à¸µà¹à¹à¸ªà¸à¸à¸à¹à¸à¸¡à¸¹à¸¥à¹à¸¥à¸°à¸à¸£à¸²à¸à¸´à¸à¸à¹à¸²à¸ à¹]()
image: Adobe Stocks
การเทรดอาจฟังดูซับซ้อน แต่จริง ๆ แล้วแก่นของมันคือ “การแลกเปลี่ยนสิ่งที่มีมูลค่า” ระหว่างกัน ในตลาดการเงิน หมายถึงการซื้อหรือขายสินทรัพย์ เช่น หุ้น พันธบัตร สินค้าโภคภัณฑ์ หรือสกุลเงินต่าง ๆ
1. พื้นฐานของการซื้อและการขาย
การเทรดทุกครั้งประกอบด้วยสองฝ่าย:
- ผู้ซื้อ: คนที่ต้องการถือครองสินทรัพย์
- ผู้ขาย: คนที่ยอมขายสินทรัพย์ออกมา
ราคาที่ทั้งสองฝ่ายตกลงกันได้ เรียกว่า ราคาตลาด ลองนึกถึงการต่อราคาในตลาดนัด แต่เป็นในรูปแบบดิจิทัล และราคาสามารถเปลี่ยนได้ทุกวินาทีตามอุปสงค์–อุปทาน
2. อุปสงค์–อุปทานทำงานอย่างไร
ตลาดขับเคลื่อนด้วยหลักอุปสงค์และอุปทาน เมื่อมีคนต้องการซื้อสินทรัพย์มากกว่าคนที่ต้องการขาย ราคาก็จะปรับตัวสูงขึ้น
ตัวอย่าง: ถ้าบริษัทประกาศกำไรที่แข็งแกร่ง คนก็อาจสนใจซื้อหุ้นมากขึ้น และทำให้ราคาหุ้นปรับสูงขึ้น
3. แพลตฟอร์มสำหรับการเทรด
การเทรดเกิดขึ้นในตลาดซื้อขาย (เช่น ตลาดหุ้นนิวยอร์ก) หรือผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ที่เรียกว่าโบรกเกอร์ แพลตฟอร์มเหล่านี้ทำหน้าที่จับคู่ผู้ซื้อกับผู้ขาย ทำให้ทุกคนตั้งแต่มืออาชีพจนถึงมือใหม่สามารถเข้าถึงการเทรดได้ง่ายขึ้น
4. ประเภทของการเทรด
นักลงทุนสามารถเลือกวิธีเทรดตามเป้าหมายของคุณ:
- เทรดรายวัน (Day trading): ซื้อ - ขายภายในวันเดียว กำไรจากการแกว่งตัวเล็ก ๆ ของราคา
- สวิงเทรด (Swing Trade): ถือครองหลายวันหรือหลายสัปดาห์ เพื่อเก็บกำไรจากแนวโน้มตลาด
- ลงทุนระยะยาว: ซื้อและถือหลายปี เน้นการเติบโตของมูลค่า
5. เครื่องมือสำคัญของนักเทรด
นักเทรดใช้เครื่องมือหลากหลายอย่างในการช่วยตัดสินใจ:
- กราฟราคา: ดูความเคลื่อนไหวของราคา
- อินดิเคเตอร์: เช่น เส้นค่าเฉลี่ย หรือ RSI เพื่อวิเคราะห์แนวโน้ม
- ข่าว: ข้อมูลเศรษฐกิจ ผลประกอบการ เหตุการณ์ทั่วโลก ล้วนมีผลต่อราคา
6. อารมณ์และวินัย
การเทรดไม่ได้เกี่ยวกับตัวเลขเพียงอย่างเดียว แต่ยังเกี่ยวกับการมีวินัยด้วย ความโลภ ความกลัว และความใจร้อนสามารถนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาด เทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จจะวางแผนการเทรด กำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน และยึดมั่นในกลยุทธ์ของตน
ตัวอย่าง
- นักลงทุนตัดสินใจซื้อหุ้นราคา 100 ดอลลาร์ เพราะเชื่อว่าราคาหุ้นจะเพิ่มขึ้น
- บริษัทประกาศข่าวดี และราคาหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น 120 ดอลลาร์
- นักลงทุนขายหุ้นและเก็บส่วนต่าง 20 ดอลลาร์เป็นกำไร
- นักลงทุนตัดสินใจขายหุ้นชอร์ตราคา 100 ดอลลาร์ เพราะเชื่อว่าราคาหุ้นจะลดลง
- บริษัทประกาศข่าวดี และราคาหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น 120 ดอลลาร์
- นักลงทุนปิดตำแหน่งและขาดทุน 20 ดอลลาร์จากส่วนต่าง
ปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งต่อกลยุทธ์การเทรดคือ เลเวอเรจทางการเงิน ลองพิจารณาสถานการณ์นี้โดยใช้เลเวอเรจ 1:5 เลเวอเรจช่วยให้เทรดเดอร์สามารถควบคุมตำแหน่งที่ใหญ่ขึ้นด้วยเงินลงทุนที่น้อยกว่า ในกรณีเลเวอเรจ 1:5 นักลงทุนต้องลงทุนเพียง 20% ของมูลค่าการเทรดทั้งหมด แต่กำไรและขาดทุนจะถูกขยายเป็น 5 เท่า
ตัวอย่างที่ 1: การซื้อหุ้นด้วยเลเวอเรจ
- สถานการณ์: นักลงทุนเชื่อว่าหุ้นที่มีราคา 100 ดอลลาร์จะเพิ่มขึ้น
- เลเวอเรจ: ด้วยเลเวอเรจ 1:5 นักลงทุนต้องใช้เงินเพียง 20 ดอลลาร์ในการเปิดตำแหน่ง โบรกเกอร์จัดให้ส่วนที่เหลืออีก 80 ดอลลาร์
- ผลลัพธ์:
- ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น 120 ดอลลาร์
- กำไรโดยไม่ใช้เลเวอเรจ: 120 - 100 = 20 ดอลลาร์
- กำไรโดยใช้เลเวอเรจ: เนื่องจากนักลงทุนใช้เงินเพียง 20 ดอลลาร์ กำไรที่แท้จริงจึงถูกขยายเป็น 20 x 5 = 100 ดอลลาร์
ตัวอย่างที่ 2: การขายหุ้นชอร์ตด้วยเลเวอเรจ
- สถานการณ์: นักลงทุนเชื่อว่าหุ้นที่มีราคา 100 ดอลลาร์จะลดลง เขาจึงขายหุ้นชอร์ตโดยใช้เลเวอเรจ 1:5 ซึ่งต้องใช้เงินเพียง 20 ดอลลาร์ในการเปิดตำแหน่ง
- เลเวอเรจ: โบรกเกอร์ให้ยืมหุ้นสำหรับการเทรดชอร์ต
- ผลลัพธ์:
- ราคาหุ้นกลับเพิ่มขึ้นเป็น 120 ดอลลาร์แทนที่จะลดลง
- ขาดทุนโดยไม่ใช้เลเวอเรจ: 120 - 100 = 20 ดอลลาร์
- ขาดทุนโดยใช้เลเวอเรจ: ขาดทุนจะถูกขยายเป็น 20 x 5 = 100 ดอลลาร์ เนื่องจากเลเวอเรจทำให้ทั้งกำไรและขาดทุนขยายตัว
หากมีระดับ Stop-Out 50% นักลงทุนยังคงมียอดเงิน $10 เหลืออยู่ในบัญชีเมื่อโบรกเกอร์ปิดสถานะโดยอัตโนมัติ อย่างไรก็ตาม สถานะจะถูกปิดโดยอัตโนมัติทันทีหากมาร์จิ้นลดลงถึง 0%
ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับเลเวอเรจ
- เลเวอเรจช่วยเพิ่มโอกาสทำกำไร แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงของการขาดทุนด้วย
- ใช้เลเวอเรจอย่างระมัดระวังเสมอ เพราะขาดทุนอาจมากกว่าการลงทุนเริ่มต้นของคุณ
- การบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม เช่น การตั้งคำสั่ง stop-loss มีความสำคัญเมื่อเทรดด้วยเลเวอเรจ
- ความเข้าใจวิธีการทำงานของเลเวอเรจช่วยให้นักเทรดตัดสินใจอย่างมีข้อมูลและใช้โอกาสในตลาดอย่างเต็มที่ พร้อมทั้งจัดการความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทำไมการเทรดจึงสำคัญ
การเทรดไม่ได้จำกัดเพียงแค่มืออาชีพเท่านั้น แต่เป็นวิธีหนึ่งในการเข้าร่วมตลาดการเงิน, สร้างความมั่งคั่ง และมีส่วนร่วมต่อเศรษฐกิจ ด้วยความเข้าใจวิธีการทำงานของตลาด ผู้ลงทุนสามารถตัดสินใจได้ชาญฉลาดขึ้นและใช้ประโยชน์จากโอกาสที่ตลาดมอบให้ อย่างไรก็ตาม ไม่มีผลกำไรใดที่รับประกันได้ แม้ผู้ลงทุนจะเข้าใจการเทรดและตลาดอย่างดี
การขายชอร์ต (Short Selling)
การขายชอร์ตคือการขายสินทรัพย์ทางการเงินโดยที่ยังไม่ได้เป็นเจ้าของ (จึงมักเรียกว่า “สถานะชอร์ต”) กลยุทธ์นี้เรียกว่า การเก็งกำไร ช่วยให้นักลงทุนสามารถทำกำไรได้จากตลาดโดยการคาดการณ์ว่ามูลค่าของสินทรัพย์จะลดลง และสามารถคาดหวังทำเงินเมื่อมูลค่าของสินทรัพย์นั้นลดลง
สรุปได้ว่าการเทรดออนไลน์เปิดโอกาสให้สามารถทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นการขึ้นหรือลง แน่นอนว่าการทำกำไรไม่มีทางปราศจากความเสี่ยง การคาดการณ์ที่ผิดพลาดก็อาจนำไปสู่การขาดทุนได้ ดังนั้น การติดตามข่าวสารทางการเงินล่าสุดอยู่เสมอจึงเป็นสิ่งสำคัญ
รูปแบบการเทรดต่าง ๆ
มีหลายกลยุทธ์การเทรด แต่ละรูปแบบมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกัน การเลือกใช้กลยุทธ์ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น:
- วัตถุประสงค์ของนักลงทุน
- สินทรัพย์ที่เลือกเทรด
- ระดับความสามารถในการรับความเสี่ยง
- ระยะเวลาของการเทรด
- ความรู้และประสบการณ์
- สถานการณ์ส่วนตัวและการเงิน
เทรดรายวัน (Day trading)
ตามชื่อของมัน การเทรดรายวันคือการเปิดและปิดสถานะภายในวันเดียว กลยุทธ์ระยะสั้นนี้ช่วยให้สามารถทำกำไรจากความเคลื่อนไหวเล็ก ๆ ของตลาด เช่น ตลาดสกุลเงิน และหลีกเลี่ยงค่าธรรมเนียมการถือข้ามคืน
สวิงเทรด (Swing trading)
ในการเทรดแบบ Swing นักเทรดจะถือสถานะเป็นระยะเวลาตั้งแต่ไม่กี่วันจนถึงหลายสัปดาห์ รูปแบบการเทรดนี้ช่วยให้นักเทรดสามารถทำกำไรจากแนวโน้มราคาที่ขึ้นหรือลง
เทรดระยะยาว
ระยะเวลาการถือสถานะยาวขึ้น ในครั้งนี้นักเทรดถือสถานะตั้งแต่หลายสัปดาห์จนถึงหลายปี จึงถือเป็นการลงทุนระยะยาวซึ่งเน้นการวิเคราะห์เชิงพื้นฐานเป็นหลัก
การเทรดอัตโนมัติ (Automated)
รูปแบบการเทรดนี้ใช้เครื่องมือที่ทำงานด้วยอัลกอริธึมคอมพิวเตอร์ อัลกอริธึมเหล่านี้จะตัดสินใจซื้อหรือขายสินทรัพย์ในตลาดการเงินโดยอัตโนมัติและรวดเร็ว หลังจากวิเคราะห์ข้อมูลราคาทางการเงินตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ล่วงหน้า
วิธีการเทรดเบื้องต้น
นักเทรดบางคนอาจคิดว่าการเทรดออนไลน์นั้นเป็นเพียงการซื้อสินทรัพย์ทางการเงิน รอให้ราคาขึ้น แล้วจึงขายออกไป แม้ว่านี่จะเป็นรูปแบบหนึ่งของการเทรด แต่ก็ไม่ใช่รูปแบบเดียว ก่อนที่เราจะอธิบายวิธีเริ่มต้นการเทรด ลองมาดูก่อนว่าตลาดใดบ้างที่สามารถเข้าถึงได้
เมื่อเราลงทุนในตลาดการเงิน เรามักนึกถึงหุ้น หรือหุ้นของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ หุ้นเหล่านี้อาจเป็นหุ้นยุโรปหรือหุ้นทั่วโลก เช่น หุ้นอเมริกันที่จดทะเบียนใน Nasdaq หรือ NYSE หรือแม้แต่หุ้นเอเชีย (ผ่าน ADRs)
นักเทรดยังสามารถลงทุนในสินทรัพย์อื่น ๆ เช่น สกุลเงิน ซึ่งมักเรียกกันว่าตลาดฟอเร็กซ์ นอกจากนี้ยังมีตลาดอื่นที่สามารถเข้าถึงได้ เช่น ดัชนี, สินค้าโภคภัณฑ์ หรือคริปโตเคอร์เรนซี เป็นต้น ตอนนี้มาดูคำตอบกันเลย: นี่คือ 6 ข้อพื้นฐานที่ควรรู้
1. เข้าใจพื้นฐาน: เริ่มต้นด้วยการเรียนรู้เกี่ยวกับตลาดการเงิน, ประเภทสินทรัพย์ต่าง ๆ (หุ้น, พันธบัตร, สินค้าโภคภัณฑ์ ฯลฯ) และแนวคิดสำคัญในการเทรด เช่น อุปสงค์และอุปทาน, เลเวอเรจ และแนวโน้มตลาด การมีพื้นฐานที่มั่นคงเป็นสิ่งสำคัญก่อนที่จะเริ่มเข้าสู่ตลาด
2. เลือกกลยุทธ์การเทรด: กำหนดรูปแบบการเทรดที่เหมาะกับเป้าหมายและความสามารถในการรับความเสี่ยงของคุณ ตัวอย่างเช่น:
- เทรดรายวัน (Day Trading): การเทรดภายในวันเดียว
- สวิงเทรด (Swing Trading): ถือสถานะเป็นวันหรือสัปดาห์
- เทรดระยะยาว (Long-Term Trading): ผสมผสานข้อมูลเชิงวิเคราะห์กับเป้าหมายการลงทุนใช้แพลตฟอร์มเทรดที่น่าเชื่อถือ: เลือกโบรกเกอร์หรือแพลตฟอร์มที่ใช้งานง่าย, ประมวลผลคำสั่งได้แม่นยำ และเข้าถึงตลาดที่คุณต้องการเทรดได้ แพลตฟอร์มควรมีเครื่องมือจัดการความเสี่ยง เช่น คำสั่ง stop-loss และ take-profit
3. วิเคราะห์ตลาด: การเทรดให้ประสบความสำเร็จขึ้นอยู่กับการวิเคราะห์ตลาด จำไว้ว่าวิธีที่ดีที่สุดคือการผสมผสานทุกวิธีการวิเคราะห์เข้าด้วยกัน
- การวิเคราะห์เชิงเทคนิค: ศึกษากราฟ, รูปแบบ, และตัวชี้วัดเพื่อทำนายการเคลื่อนไหวของราคาระยะสั้น
- การวิเคราะห์เชิงพื้นฐาน: ตรวจสอบข้อมูลเศรษฐกิจ, ผลการดำเนินงานของบริษัท และแนวโน้มตลาดเพื่อประเมินมูลค่า
- การวิเคราะห์ความเสี่ยง-ผลตอบแทน: ศึกษารูปแบบในอดีต, ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสัญญาณความเสี่ยงสำคัญ
5. บริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ ปกป้องเงินทุนของคุณเสมอด้วยกลยุทธ์เช่น:
- ตั้งคำสั่ง stop-loss เพื่อจำกัดการขาดทุน
- ใช้เลเวอเรจอย่างระมัดระวัง เพราะทั้งกำไรและขาดทุนจะเพิ่มขึ้นตาม
- กระจายการเทรดเพื่อลดความเสี่ยง
6. มีวินัยและเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง: การเทรดไม่ใช่แค่กลยุทธ์ แต่เกี่ยวกับจิตวิทยาด้วย ปฏิบัติตามแผนการเทรด, ควบคุมอารมณ์เช่นความกลัวและความโลภ, และเรียนรู้จากทั้งความสำเร็จและความล้มเหลว ตลาดเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ดังนั้นทักษะและกลยุทธ์ของคุณก็ควรพัฒนาไปด้วย
เริ่มต้นการเทรดอย่างไร
![à¸à¸²à¸¢à¸à¸à¸«à¸à¸¶à¹à¸à¸à¸³à¸¥à¸±à¸à¸à¸£à¸§à¸à¸ªà¸à¸à¸à¸£à¸²à¸à¸à¸¥à¸²à¸à¸«à¸¸à¹à¸à¸à¸µà¹à¹à¸ªà¸à¸à¸à¸à¸«à¸à¹à¸²à¸à¸ à¹à¸à¸¢à¸¡à¸µà¸ªà¸¡à¸²à¸à¸´à¸à¸±à¸à¸à¸²à¸£à¸§à¸´à¹à¸à¸£à¸²à¸°à¸«à¹à¸à¹à¸à¸¡à¸¹à¸¥à¸à¸²à¸à¸à¸²à¸£à¹à¸à¸´à¸]()
มาดูกันว่าการเรียนรู้การเทรดและเริ่มต้นทำอย่างไร โดยพื้นฐานแล้ว การเทรดออนไลน์เริ่มจากการเปิดบัญชีโบรกเกอร์และผ่านขั้นตอนยืนยันตัวตน เมื่อบัญชีพร้อมใช้งานแล้ว คุณก็สามารถลองทำนายแนวโน้มราคาของสินทรัพย์ทางการเงินในอนาคตได้ (ส่วนใหญ่เป็นระยะสั้น) ซึ่งมีหลายวิธีในการทำเช่นนี้
การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน (Technical analysis)
คุณวิเคราะห์กราฟราคาของสินทรัพย์ทางการเงินเพื่อค้นหารูปแบบเฉพาะที่ช่วยให้ทำนายราคาได้อย่างแม่นยำ คุณสามารถวิเคราะห์รูปแบบกราฟยอดนิยม เช่น “หัวและไหล่” หรือ Wyckoff distribution รวมถึงแท่งเทียน, Fibonacci retracements หรือแม้แต่ปริมาณการซื้อขาย เพื่อช่วยวิเคราะห์การเทรดระยะสั้นในตลาดได้ดียิ่งขึ้น
การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental analysis)
เราวิเคราะห์สภาพเศรษฐกิจพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ทางการเงินเพื่อทำการพยากรณ์ เช่น หากต้องการทำนายผลการดำเนินงานของหุ้นจดทะเบียน เราสามารถวิเคราะห์ผลการดำเนินงานของบริษัทนั้น หรือหากต้องการทำนายค่าเงิน เราสามารถพิจารณาผลการดำเนินงานทางเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ
สัญญาณการเทรด
ในกรณีนี้ คุณจะติดตามคำแนะนำจากนักวิเคราะห์การเงิน (ซึ่งอาจใช้เทคนิคการวิเคราะห์เชิงปริมาณหรือเชิงเทคนิคขั้นสูง) สัญญาณเหล่านี้สามารถส่งผ่านอีเมล, SMS, WhatsApp หรือ Telegram บริการสัญญาณฟรีที่ดีที่สุดสามารถเข้าถึงได้ทางอีเมล, โซเชียลมีเดีย หรือวิดีโอ แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือ: ผู้เทรดเป็นผู้ควบคุมการซื้อขายของตนเองเพียงผู้เดียว สภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย, มืออาชีพ และน่าเชื่อถือเป็นพื้นฐานของกระบวนการตัดสินใจ แต่การตัดสินใจขั้นสุดท้ายขึ้นอยู่กับผู้ที่ทำการสั่งซื้อ
การจัดการความเสี่ยง
![สามà¹à¸«à¸¥à¸µà¹à¸¢à¸¡à¸ªà¸µà¹à¸à¸à¸¡à¸µà¹à¸à¸£à¸·à¹à¸à¸à¸«à¸¡à¸²à¸¢à¸à¸à¹à¸à¸à¸£à¸à¸à¸¥à¸²à¸ à¸à¸à¸à¹à¸«à¹à¸£à¸°à¸§à¸±à¸à¸«à¸£à¸·à¸à¸¡à¸µà¸à¸§à¸²à¸¡à¹à¸ªà¸µà¹à¸¢à¸]()
การจัดการเงิน (Money Management) คือการใช้กฎเกณฑ์และเทคนิคต่าง ๆ เพื่อปกป้องเงินทุนของคุณและลดความเสียหายให้น้อยที่สุด ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของกลยุทธ์การเทรดและการฝึกฝนตัวเองในฐานะเทรดเดอร์ หากการจัดการความเสี่ยงไม่ดีพอ คุณอาจสูญเสียเงินลงทุน หรือมากกว่านั้น อีกทั้งอาจทำให้คุณต้องเปิดตำแหน่งในเวลาที่ไม่เหมาะสม เพราะไม่มีเงินสดเพียงพอสำหรับรองรับข้อกำหนดมาร์จิ้น
ตั้งค่า Stop-Loss และ Take-Profit:
- คำสั่ง Stop-Loss จำกัดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นโดยปิดการเทรดโดยอัตโนมัติเมื่อราคาถึงระดับที่กำหนด
- คำสั่ง Take-Profit ช่วยล็อกกำไรโดยปิดตำแหน่งเมื่อถึงเป้าหมายกำไร เครื่องมือเหล่านี้จำเป็นสำหรับการปกป้องเงินทุนของคุณ
ใช้เลเวอเรจด้วยความระมัดระวัง
- แม้เลเวอเรจจะช่วยขยายกำไร แต่ก็ขยายความเสียหายเช่นกัน ต้องเข้าใจความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องเสมอ และหลีกเลี่ยงการใช้เลเวอเรจมากเกินไป โดยเฉพาะสำหรับผู้เริ่มต้น
กระจายพอร์ตการลงทุน:
- ลงทุนในสินทรัพย์หรือภาคส่วนที่หลากหลายเพื่อลดผลกระทบจากการเทรดที่ผลการดำเนินงานไม่ดี การกระจายการลงทุนช่วยลดความเสี่ยงโดยรวมของพอร์ต
ยึดตามอัตราส่วนความเสี่ยง/ผลตอบแทน:
- แนวทางที่ดีคือการตั้งเป้าอัตราส่วนความเสี่ยง/ผลตอบแทนอย่างน้อย 1:2 หมายถึงเสี่ยง 1 ดอลลาร์เพื่อให้ได้กำไร 2 ดอลลาร์ วิธีนี้ช่วยให้กำไรที่เป็นไปได้มีมากกว่าความเสียหายในระยะยาว
รักษาวินัยทางอารมณ์:
- หลีกเลี่ยงการตัดสินใจแบบฉับพลันที่เกิดจากความกลัวหรือความโลภ ยึดตามแผนการเทรดและอย่าไล่ตามการขาดทุน การควบคุมอารมณ์ถือเป็นหัวใจสำคัญของการจัดการความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ
- การจัดการความเสี่ยงจึงเกี่ยวข้องกับการหาสมดุลที่เหมาะสมระหว่างความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นและกำไรที่เป็นไปได้ ในการเริ่มต้น คุณต้องกำหนดขนาดการเทรด ซึ่งขึ้นอยู่กับสถานะทางการเงิน ค่าใช้จ่าย เป้าหมาย ประสบการณ์ และความสามารถในการรับความเสี่ยงของคุณ ในทางปฏิบัติ ควรจำกัดเงินทุนที่ใช้เทรดเพียงเงินที่คุณพร้อมจะสูญเสีย
- เมื่อคุณเปิดตำแหน่ง สิ่งสำคัญคือต้องตั้งคำสั่ง Stop-Loss (ซื้อหรือขาย) จุดประสงค์คือกำหนดระดับที่คุณจะหยุดการเทรดหากเกิดขาดทุน วิธีที่ง่ายที่สุดคือการตั้งคำสั่งที่ระยะคงที่ ซึ่งสอดคล้องกับเปอร์เซ็นต์คงที่ของขนาดตำแหน่งของคุณ สุดท้าย สิ่งสำคัญคือต้องจำกัดจำนวนตำแหน่งที่เปิดอยู่เพื่อลดความเสี่ยงที่คุณเปิดรับ
สรุป
การเทรดเป็นรากฐานสำคัญของตลาดการเงิน ซึ่งเปิดโอกาสให้ทั้งบุคคลและสถาบันสามารถบริหารความเสี่ยง เพิ่มสภาพคล่อง และสร้างการเติบโตทางการเงินได้ เมื่อเข้าใจหลักการของการเทรดอย่างถ่องแท้ นักลงทุนจะสามารถตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูลมากขึ้น ปรับกลยุทธ์ให้เหมาะกับสภาวะตลาด และบรรลุเป้าหมายระยะยาวได้ดีขึ้น
บทความนี้ได้อธิบายถึง บทบาทสำคัญของการเทรด วิธีการทำงาน และความสัมพันธ์กับการลงทุน ตั้งแต่การทำความเข้าใจอุปสงค์–อุปทาน ไปจนถึงการใช้เครื่องมืออย่างการวิเคราะห์ทางเทคนิคและการบริหารความเสี่ยง การเทรดช่วยให้นักลงทุนมีความรู้พร้อมรับมือกับความซับซ้อนของตลาดการเงิน
ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่ที่ต้องการสร้างพื้นฐาน หรือเป็นนักลงทุนที่มีประสบการณ์และต้องการพัฒนากลยุทธ์ การเทรดมอบความรู้และเทคนิคที่ช่วยเสริมเส้นทางทางการเงินของคุณได้ ด้วยกลยุทธ์ที่ถูกต้อง วินัย และการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง คุณสามารถใช้การเทรดเป็นเครื่องมือช่วยในการตัดสินใจลงทุนอย่างชาญฉลาดได้
การเทรดไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของการทำกำไรเร็ว ๆ แต่ยังเป็นการสร้างความมั่นใจ บริหารความเสี่ยง และสร้างเส้นทางสู่ความสำเร็จทางการเงิน พร้อมยอมรับความเสี่ยงของการขาดทุนจำนวนมาก และไม่มีการรับประกันผลลัพธ์ แม้จะเป็นการตัดสินใจที่ดูมีเหตุผลก็ตาม
เอกสารฉบับนี้จัดทำขึ้นเพื่อให้ข้อมูลเบื้องต้นและใช้สำหรับการศึกษาเท่านั้น ความคิดเห็น การวิเคราะห์ ราคา หรือเนื้อหาอื่น ๆ ในเอกสารนี้ ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้คำแนะนำในการลงทุน หรือเพื่อให้ความเข้าใจด้านกฎหมายของประเทศ Belize
ผลประกอบการในอดีตไม่ได้เป็นการรับประกันถึงผลประกอบการในอนาคต การกระทำหรือการตัดสินใจใด ๆ ตามข้อมูลในเอกสารนี้ เป็นความเสี่ยงของผู้ดำเนินการเอง XTB ไม่มีส่วนรับผิดชอบต่อความสูญเสีย ความเสียหาย หรือผลกำไรหรือขาดทุนใด ๆ ที่อาจเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือทางอ้อมจากการใช้ข้อมูลในเอกสารนี้
ทุกการตัดสินใจลงทุนควรพิจารณาอย่างรอบคอบ และเป็นความรับผิดชอบของท่านเอง
![à¸à¸³à¸à¸²à¸¡à¸à¸à¸à¹à¸à¸¢]()