ในบทนี้คุณจะได้เรียนรู้ว่า:
- ทำไมเทรนด์ถึงเป็นมิตรของเทรดเดอร์ทุกคน
- วิธีการระบุว่า ตลาดอยู่ในแนวโน้มขาลง ขาขึ้น หรือไซด์เวย์
- วิธีการลากเส้นเทรนด์บนแผนภูมิกราฟ
หนึ่งในประโยคที่เป็นที่นิยมที่สุดในตลาดซื้อขายและคุณอาจเคยได้ยินมาก่อน คือ 'เทรนด์เป็นมิตรของคุณ' (the trend is your friend)’
ความหมายของมัน คือ ให้คุณเทรดไปตามทิศทางที่มีแรงต้านน้อยที่สุด ด้วยการซื้อขายไปในทิศทางของแนวโน้มที่กำลังเกิดขึ้นเสมอ ลองจินตนาการถึงคลื่นที่เคลื่อนเข้าหาฝั่ง สิ่งที่ง่ายที่สุดที่เทรดเดอร์สามารถทำได้ก็คือ หยิบกระดานขึ้นไปขี่บนยอดคลื่น ไม่ใช่ว่ายน้ำทวนมัน
แน่นอนว่า เทรนด์สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา แต่คุณสามารถใช้ตัวบ่งชี้ทางเทคนิคเพื่อระบุจังหวะเวลาที่เทรนด์มีแนวโน้มจะเปลี่ยนทิศทาง
ขึ้น ลง ไซด์เวย์
ตลาดการเงินทั้งหมดเคลื่อนไหวในสองแนวโน้มที่ต่างกัน ไม่ขึ้นก็ลง เมื่อตลาดไม่ได้อยู่ในเทรนด์ขึ้นหรือลง มันจะเคลื่อนไหวออกไปในแนวราบ ซึ่งมีการงัดกันอย่างต่อเนื่องระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย การระบุแนวโน้มของตลาด ณ ช่วงเวลาปัจจุบันได้อย่างถูกต้อง จะนำมาซึ่งโอกาสอันชัดเจน พร้อมกับแนวทางที่แจ่มแจ้ง
ตลาดขาขึ้น
หากตลาดกำลังอยู่ในขาขึ้น คุณอาจพิจารณาส่งคำสั่งซื้อและเทรดต่อไปตามเทรนด์นั้น ซึ่งเป็นทิศทางที่มีแรงต้านน้อยที่สุด กุญแจสำคัญคือการเลือกช่วงเวลาที่เหมาะสมเพื่อเปิดสถานะซื้อ จังหวะสั่งซื้อที่ดีสุด คือ การเข้าซื้อให้ได้ในราคาต่ำที่สุด เพื่อเพิ่มศักยภาพในการทำกำไรอย่างเต็มที่ เทรดเดอร์บางคนอาจรอให้เกิดการชะลอตัว (ช่วงที่ราคาตลาดต่ำลงมาเล็กน้อย) แต่วิธีการเช่นนั้นมีความเสี่ยงที่จะต้องรอนานเกินไปก่อนที่จะเข้าเทรด กระทั่งคุณอาจจะพลาดโอกาสในการทำกำไรขาขึ้น
ตลาดที่พุ่งขึ้นหรือที่เรียกว่า ตลาดขาขึ้นหรือตลาดกระทิง จะมีระดับราคาสูงสุดและต่ำสุดที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ แต่ละแนวต้านที่เกิดขึ้น จะสูงกว่าแนวต้านก่อนหน้า
ตลาดขาลง
ในทางตรงข้าม หากตลาดกำลังร่วงลง คุณอาจพิจารณาเปิดสถานะขายในตลาดนั้น การเพิ่มศักยภาพในการทำกำไรช่วงขาลง คุณจะต้องเข้าสู่เทรดให้ได้ราคาสูงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ซึ่งจะช่วยให้คุณมีโอกาสทำกำไรได้เต็มที่จากราคาที่กำลังร่วงลง
ตลาดที่ร่วดลงหรือที่เรียกว่า ตลาดขาลงหรือตลาดหมี เป็นตลาดที่มีจุดสูงสุดและต่ำสุดที่ลดลงเรื่อยๆ
(รูปภาพ)
Uptrend - ขาขึ้น
Sideways trend - เคลื่อนไหวในแนวราบ
Downtrend - ขาลง
Higher highs - แนวรับและแนวต้านสูงขึ้น
Trading range - ช่วงราคาซื้อขาย
Lower lows - แนวรับและแนวต้านต่ำลง
วิธีการตรวจสอบแนวโน้ม
การวิเคราะห์ทางเทคนิคแบบดั้งเดิมระบุว่า ในช่วงตลาดขาขึ้น แนวต้านจะสูงขึ้น เนื่องจากมีผู้ซื้อเป็นส่วนใหญ่และผลักดันราคาให้สูงขึ้น แนวรับก็จะสูงขึ้นด้วยเช่นกัน เนื่องจากผู้ซื้อต่างตัดสินใจซื้อเร็วขึ้นเมื่อราคาร่วงลงมาเพียงเล็กน้อย ลักษณะดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงเทรนด์ขาลงด้วยเช่นกัน แนวรับจะต่ำลงเพราะผู้ขายจะขายในราคาที่ต่ำกว่าเดิม และแนวต้านจะต่ำลงเพราะผู้ขายจะตัดสินใจขายเร็วกว่าปกติ โดยไม่มีผู้ซื้อ นั่นคือเหตุผลที่วิธีที่ง่ายที่สุดในการตรวจสอบแนวโน้ม คือ การเชื่อมโยงจุดสูงสุดสองจุดหรือจุดต่ำสุดสองจุดที่คุณลากเส้นกำกับไว้บนแผนภูมิกราฟ
เทรนด์เป็นมิตรของคุณ - จนกว่าจะสิ้นสุดลง
อย่างไรก็ตาม ตลาดจะไม่ทำการซื้อขายในแนวโน้มที่ชัดเจนตลอด 24 ชั่วโมงใน 7 วันต่อสัปดาห์ มันย่อมมีช่วงเวลาที่ตลาดรักษาเสถียรภาพไว้ได้ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นช่วงของตลาดแนวราบ (sideways trends)
ตลาดจะขยับไปด้านข้างหรือแนวราบเมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน ซึ่งผู้ซื้อหรือผู้ขายอยู่ในภาวะลังเล ผู้ซื้อและผู้ขายจะทำการทดสอบซึ่งกันและกัน แต่ยังไม่มีการลงมติเป็นเอกฉันท์ ในสถานการณ์เช่นนี้ เทรดเดอร์ส่วนใหญ่มีสองกลยุทธ์ที่อาจเลือกใช้ คือ ซื้อขายในช่วงราคาแคบๆ หรือไม่ก็รอการฝ่าแนวรับและแนวต้าน
ดังที่คุณเห็นในตัวอย่างด้านล่าง ตลาด EURUSD ซื้อขายไปในแนวราบ ก่อนที่จะมีการเทรนด์ขาลงจะเกิดขึ้นและผู้ขายมีอิทธิพลมากกว่าผู้ซื้อ จึงกดให้ราคาลดต่ำลง
เมื่อจะระบุแนวโน้ม
หนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุดเมื่อจะทำการระบุแนวโน้มตลาด คือ การกำหนดกรอบเวลาของคุณ โดยปกติแล้ว เมื่อคุณจะวิเคราะห์แนวโน้มระยะยาว คุณต้องใช้กรอบเวลาระยะยาวมากกว่ากรอบระยะสั้น อย่างไรก็ตาม สำหรับเทรนด์ในแต่ละช่วงเวลาของวัน กรอบเวลาที่สั้นกว่าจะเป็นประโยชน์มากกว่า เทรดเดอร์รายใหญ่อาจจะให้ความสำคัญกับสถานการณ์ของค่าเงินหรือบริษัทในกรอบระยะเวลาเป็นเดือนหรือเป็นปี แต่สำหรับเทรดเดอร์รายย่อย กรอบเวลารายสัปดาห์ก็ถือว่าเป็นกรอบระยะยาวแล้ว
ขี่คลื่นไปตามเทรนด์
โดยนิยามแล้ว การวิเคราะห์แนวโน้มจะขึ้นอยู่กับการเคลื่อนไหวของราคาในอดีต นั่นหมายความว่า เทรดเดอร์กำลังมองอดีตเพื่อคาดการณ์อนาคต
การรู้ทิศทางของเทรนด์จะช่วยในการเปิดสถานะซื้อขาย แต่จำไว้ว่า ตลาดมักจะเคลื่อนไหวแบบลูกคลื่น ลูกคลื่นเหล่านี้เรียกว่า คลื่นเหล่านี้จะเรียกว่า คลื่นไหล (impulse wave) เมื่อมันเป็นไปในทิศทางเดียวกับเทรนด์ และเรียกว่า คลื่นม้วนกลับ (corrective wave) เมื่อมันเป็นไปในทิศทางตรงข้ามหรือย้อนเทรนด์
คุณสามารถลองคาดการณ์โอกาสในการเทรดว่า มันจะเป็นไปในทิศทางเดียวกับเทรนด์หรือย้อนเทรนด์ได้ ด้วยการนับจำนวนคลื่นหรือจุดกลับตัวในแต่ละคลื่น