เลเวอเรจทางการเงิน (Financial Leverage) คือหนึ่งในเครื่องมือทรงพลังที่ช่วยให้นักลงทุนและนักเทรดสามารถขยายโอกาสในการทำกำไร โดยใช้เงินทุนที่ยืมมาหรือเครื่องมือทางการเงินที่มีเลเวอเรจในตัว ทำให้สามารถควบคุมสถานะที่มีขนาดใหญ่กว่าทุนของตนจริงได้
เครื่องมือนี้มีบทบาททั้งในการเทรดระยะสั้น เช่น ในตลาดฟอเร็กซ์และคริปโต และในการวางแผนการเงินขององค์กร แม้เลเวอเรจจะช่วยเพิ่มผลตอบแทนได้ แต่ก็มาพร้อมกับ ความเสี่ยงสูง เช่น การขาดทุนเกินทุนเริ่มต้น หรือถูกเรียกมาร์จิ้น (Margin Call) หากตลาดเคลื่อนไหวตรงข้าม
การใช้เลเวอเรจอย่างชาญฉลาดจึงต้องมี การบริหารความเสี่ยงที่ดี และความเข้าใจในกลไกของเครื่องมือนี้อย่างลึกซึ้ง
ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปรู้จักเลเวอเรจทางการเงินทำงานอย่างไร ประเภทของเลเวอเรจที่ใช้กันในตลาด ข้อดี-ข้อเสีย วิธีใช้เลเวอเรจอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าคุณจะเป็นนักเทรดมือใหม่หรือนักลงทุนระยะยาว การเข้าใจเลเวอเรจคือ กุญแจสู่ความสำเร็จในโลกการเงินที่มีความผันผวนสูง
ประเด็นสำคัญ
- เลเวอเรจทางการเงินช่วยให้นักลงทุนสามารถเทรดด้วยเงินมากกว่าที่ตนมี ไม่ว่าจะเป็นการยืมเงินทุนจากภายนอก (เลเวอเรจภายนอก) หรือการใช้เครื่องมือที่มีเลเวอเรจในตัว (เลเวอเรจภายใน)
- เลเวอเรจขยายทั้งกำไรและขาดทุน แม้มันจะเพิ่มโอกาสในการทำกำไร แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงที่นักลงทุนจะสูญเสียมากกว่าเงินที่ลงทุนไป
- อัตราส่วนเลเวอเรจ เช่น 1:5 หรือ 1:10 แสดงถึงจำนวนเงินที่ยืมมาเทียบกับเงินทุนของนักลงทุนเอง เช่น เลเวอเรจ 1:10 หมายความว่า เมื่อลงทุน $1 นักลงทุนสามารถควบคุมสถานะในตลาดมูลค่า $10 ได้
- นักเทรดสามารถเข้าถึงเลเวอเรจผ่านผลิตภัณฑ์ทางการเงิน เช่น CFD, ฟิวเจอร์ส และออปชั่น ซึ่งช่วยให้สามารถควบคุมสถานะใหญ่ๆ ได้ด้วยเงินทุนที่น้อย
- การเรียกมาร์จิ้นจะเกิดขึ้นเมื่อนักลงทุนขาดทุนจนเกินขีดจำกัดที่กำหนด ต้องเติมเงินเพิ่ม หรือเสี่ยงต่อการถูกปิดสถานะโดยอัตโนมัติจากโบรกเกอร์
- การบริหารความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญเมื่อต้องใช้เลเวอเรจ การตั้งจุดตัดขาดทุน (stop-loss), หลีกเลี่ยงการใช้เลเวอเรจมากเกินไป และการเข้าใจความผันผวนของตลาดสามารถช่วยลดความเสี่ยงได้
- เลเวอเรจไม่ใช่แค่ในโลกของการเทรด บริษัทต่างๆ ก็ใช้มันในการเงินองค์กร เช่น เพื่อระดมทุนในการขยายธุรกิจ การซื้อกิจการ หรือการลงทุนในโครงการใหม่ผ่านการกู้เงิน
- บางตลาดการเงินเปิดโอกาสให้ใช้เลเวอเรจสูงมาก การเทรดฟอเร็กซ์มักอนุญาตให้ใช้เลเวอเรจสูงถึง 1:500 ขณะที่ตลาดหุ้นส่วนใหญ่มีข้อจำกัดที่เข้มงวดมากกว่า
- นักลงทุนชื่อดัง Warren Buffett เตือนถึงการใช้เลเวอเรจมากเกินไป โดยเน้นว่าแม้มันจะช่วยให้ได้กำไรเร็ว แต่ก็สามารถนำไปสู่การล้มละลายทางการเงินได้หากไม่จัดการให้ดี
- การลงทุนด้วยเลเวอเรจให้สำเร็จต้องอาศัยกลยุทธ์ที่ชัดเจน การบริหารความเสี่ยงที่มีวินัย และความเข้าใจในสภาวะตลาดอย่างลึกซึ้ง เพื่อเพิ่มโอกาสทำกำไรสูงสุดพร้อมควบคุมความเสี่ยงให้น้อยที่สุด
เลเวอเรจทางการเงินคืออะไร?
เลเวอเรจทางการเงินคือกลยุทธ์ที่ช่วยให้นักลงทุนและธุรกิจสามารถควบคุมสถานะในตลาดที่มีขนาดใหญ่ขึ้นได้ โดยใช้เงินลงทุนเริ่มต้นที่น้อยลง ผ่านการกู้ยืมเงินทุนหรือการใช้เครื่องมือทางการเงินที่มีเลเวอเรจในตัว พูดง่ายๆ คือ เลเวอเรจจะช่วยขยายทั้งกำไรและขาดทุนที่เป็นไปได้ โดยเพิ่มการเปิดรับความเคลื่อนไหวของตลาดโดยไม่ต้องใช้เงินทุนเต็มจำนวน
เลเวอเรจทางการเงินทำงานอย่างไร?
ในพื้นฐาน เลเวอเรจทำงานโดยใช้เงินฝากมาร์จิ้น (คือเงินของนักลงทุนเอง) ร่วมกับการกู้เงินส่วนที่เหลือจากโบรกเกอร์หรือสถาบันการเงิน วิธีนี้ช่วยให้นักเทรดสามารถเปิดสถานะที่ใหญ่กว่าจำนวนเงินที่ตนมีจริง โดยปกติเลเวอเรจจะแสดงเป็นอัตราส่วน เช่น 1:5, 1:10 หรือ 1:50 ซึ่งบอกถึงจำนวนเงินที่ควบคุมได้เมื่อเทียบกับเงินฝากของนักลงทุน
ตัวอย่างเช่น ถ้าใช้เลเวอเรจ 1:10 นักลงทุนที่มีเงิน $1,000 จะสามารถควบคุมสินทรัพย์มูลค่า $10,000 ได้ ซึ่งหมายความว่า แม้ความเคลื่อนไหวของตลาดเพียงเล็กน้อย ก็อาจสร้างผลกำไรมหาศาล — หรือขาดทุนอย่างมากเช่นกัน
ประเภทของเลเวอเรจทางการเงิน
เลเวอเรจภายนอก (External Leverage):
เป็นการกู้เงินจากโบรกเกอร์ ธนาคาร หรือผู้ให้กู้ เพื่อเพิ่มการเปิดรับตลาด โดยใช้กันอย่างแพร่หลายในตลาดเทรด การลงทุนอสังหาริมทรัพย์ และการเงินองค์กร
เลเวอเรจภายใน (Internal Leverage):
บางเครื่องมือทางการเงิน เช่น CFD, ฟิวเจอร์ส และออปชั่น มีเลเวอเรจในตัว ซึ่งช่วยให้นักเทรดสามารถเข้าถึงตลาดขนาดใหญ่ขึ้นโดยไม่ต้องกู้เงินแยกต่างหาก
เลเวอเรจภายนอก คือการใช้เงินกู้ยืมจากโบรกเกอร์เพื่อนำมาลงทุนในตลาดการเงิน เป็นเครื่องมือที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายทั้งในกลุ่มนักเทรดรายบุคคลและบริษัท เพราะช่วยเพิ่มกำลังการลงทุนโดยไม่ต้องใช้เงินทุนทั้งหมดของตนเอง
นักลงทุนมักเลือกใช้เลเวอเรจภายนอกในกรณีที่มีเงินทุนจำกัด หรือไม่ต้องการนำเงินทั้งหมดไปผูกกับการเทรด ด้วยการผสานทุนของตนเองเข้ากับเงินที่กู้มา เทรดเดอร์สามารถเปิดสถานะที่มีขนาดใหญ่ขึ้น และเข้าถึงโอกาสทำกำไรได้มากกว่าเดิม
ข้อดีของการใช้เลเวอเรจภายนอก
- ควบคุมสถานะการลงทุนที่ใหญ่กว่าทุนจริง
- เปิดโอกาสในการทำกำไรสูงขึ้น
- เข้าถึงผลิตภัณฑ์ทางการเงินได้มากขึ้น แม้มีเงินทุนจำกัด
อย่างไรก็ตาม การใช้เลเวอเรจยังมาพร้อมกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น หากตลาดเคลื่อนไหวสวนทางกับสถานะของคุณ ผลขาดทุนจะถูกขยายตามอัตราเลเวอเรจ ซึ่งอาจทำให้คุณขาดทุนเกินเงินที่ลงทุนไว้ และอาจต้องชดใช้หนี้ให้กับโบรกเกอร์
ก่อนใช้เลเวอเรจ เทรดเดอร์ควรประเมินความสามารถในการรับความเสี่ยง และวิเคราะห์ว่าผลตอบแทนที่คาดหวังนั้นคุ้มค่ากับต้นทุนที่ต้องจ่ายหรือไม่ โดยเฉพาะ:
- ต้นทุนดอกเบี้ย จากเงินกู้ที่ต้องจ่าย ไม่ว่าจะมีกำไรหรือขาดทุน
- ความเสี่ยงของการล้างพอร์ต หากไม่วางแผนบริหารความเสี่ยงอย่างรัดกุม
- ความเข้าใจในผลิตภัณฑ์ ที่ใช้เลเวอเรจ เช่น CFD, ฟิวเจอร์ส หรือออปชัน
เลเวอเรจภายใน (Built-in Leverage)คือเลเวอเรจที่ฝังอยู่ในผลิตภัณฑ์ทางการเงินบางประเภทอยู่แล้ว เช่น ดัชนีฟิวเจอร์ส สัญญาอนุพันธ์ หรือ ETF บางตัว ซึ่งช่วยให้นักลงทุนได้เปิดรับตลาดมากขึ้นโดยไม่ต้องกู้เงินโดยตรงจากโบรกเกอร์
ยกตัวอย่างเช่น ดัชนี Ibex 35 ของสเปน มีอัตราเลเวอเรจในตัวที่ €10 ต่อจุด หมายความว่า ทุกการเคลื่อนไหวของดัชนี 1 จุด นักลงทุนจะได้หรือเสีย €10 ขึ้นอยู่กับทิศทางของสถานะที่ถืออยู่
ในทางตรงข้าม ดัชนี DAX ของเยอรมนี มีเลเวอเรจที่สูงกว่าคือ €25 ต่อจุด ซึ่งหมายถึงโอกาสในการทำกำไรก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย แต่ความเสี่ยงก็ขยายตามอัตราเลเวอเรจเช่นกัน
เหตุผลที่เลเวอเรจน่าสนใจสำหรับนักลงทุน
เลเวอเรจเป็นเครื่องมือที่ได้รับความนิยม เพราะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการลงทุน โดยเฉพาะเมื่อนักลงทุนมีเงินทุนจำกัด หรือไม่ต้องการใช้เงินทั้งหมดในการเทรดแต่ละสถานะ เลเวอเรจช่วยให้นักลงทุนสามารถเปิดสถานะที่ใหญ่ขึ้นได้โดยใช้เงินน้อยลง
ข้อได้เปรียบที่สำคัญของการใช้เลเวอเรจมีดังนี้:
- เพิ่มผลตอบแทนสูงสุด: ด้วยการควบคุมสถานะที่มีมูลค่าสูง แม้ตลาดจะเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย ก็สามารถสร้างกำไรที่มากกว่าการใช้เงินทุนของตัวเองล้วนๆ
- กระจายการลงทุน: เลเวอเรจช่วยให้นักเทรดสามารถแบ่งเงินทุนเพื่อเปิดหลายสถานะพร้อมกัน ลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาการลงทุนเพียงตัวเดียว
- เข้าถึงตลาดได้มากขึ้น: สำหรับผู้ที่มีเงินทุนจำกัด เลเวอเรจเปิดโอกาสให้สามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์ที่ปกติต้องใช้เงินสูง เช่น ฟิวเจอร์สดัชนี น้ำมัน หรือทองคำ
ข้อควรระวังในการใช้เลเวอเรจ
แม้เลเวอเรจจะช่วยเพิ่มศักยภาพในการทำกำไร แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงเช่นเดียวกัน หากตลาดเคลื่อนไหวสวนทางกับสถานะของนักลงทุน ความเสียหายที่เกิดขึ้นอาจมากกว่าเงินที่ลงทุนไว้ และในบางกรณีอาจต้องชำระหนี้เพิ่มให้กับโบรกเกอร์
ดังนั้น ก่อนใช้เลเวอเรจ นักลงทุนควร:
- ประเมินความสามารถในการรับความเสี่ยงของตนเอง
- เข้าใจระดับเลเวอเรจของผลิตภัณฑ์ที่ลงทุน
- พิจารณาผลตอบแทนที่เป็นไปได้ เทียบกับต้นทุนดอกเบี้ย และความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น
ตัวอย่างของ Ibex 35 (€10 ต่อจุด) และ DAX (€25 ต่อจุด) ช่วยให้เห็นภาพว่าแต่ละดัชนีมีระดับเลเวอเรจในตัวที่แตกต่างกัน ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อทั้งโอกาสทำกำไรและความเสี่ยงที่นักลงทุนต้องรับ นักลงทุนที่เข้าใจและวางแผนการใช้เลเวอเรจอย่างเหมาะสม จะสามารถใช้เครื่องมือนี้เป็นกลยุทธ์ในการเพิ่มประสิทธิภาพพอร์ตได้อย่างชาญฉลาด
ตัวอย่างของการใช้เลเวอเรจทางการเงิน
สมมุติสถานการณ์:
- นักลงทุนมีเงิน $1,000 ในบัญชีเทรด
- ต้องการซื้อ CFD ทองคำ ที่ราคา $2,000 ต่อออนซ์
- ใช้ เลเวอเรจอัตรา 1:10
การคำนวณ: ด้วยเลเวอเรจ 1:10 นักลงทุนสามารถควบคุมมูลค่าทองคำ $10,000 ได้ หมายความว่าสามารถซื้อทองคำได้ 5 ออนซ์ (5 × $2,000)
สถานการณ์ที่ 1: ราคาทองคำเพิ่มขึ้น (กำไร)
- ราคาทองคำขึ้นจาก $2,000 → $2,050 ต่อออนซ์ (+$50)
- มูลค่ารวม = 5 × $2,050 = $10,250
- กำไร = $250
ผลตอบแทน = 25% จากเงินลงทุน $1,000
หากไม่ใช้เลเวอเรจ กำไรจะเพียง 2.5%
สถานการณ์ที่ 2: ราคาทองคำลดลง (ขาดทุน)
- ราคาทองคำลงจาก $2,000 → $1,950 ต่อออนซ์ (–$50)
- มูลค่ารวม = 5 × $1,950 = $9,750
- ขาดทุน = $250
ผลขาดทุน = 25% จากเงินลงทุน $1,000
หากไม่ใช้เลเวอเรจ ขาดทุนจะเพียง 2.5%
ความเสี่ยงในการถูกเรียกมาร์จิ้น (Margin Call)
เมื่อมูลค่าพอร์ตลดลงใกล้เคียงกับเงินมาร์จิ้นเริ่มต้น ($1,000) โบรกเกอร์อาจแจ้ง มาร์จิ้นคอล ให้เติมเงินเพิ่ม หากนักลงทุนไม่สามารถเติมได้ทันเวลา สถานะจะถูก ปิดโดยอัตโนมัติ เพื่อป้องกันความเสียหายที่ลุกลาม
สรุป: เลเวอเรจสามารถขยายได้ทั้งกำไรและขาดทุน แม้จะเปิดโอกาสให้นักเทรดควบคุมสถานะที่ใหญ่ขึ้นด้วยเงินทุนน้อยลง แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ดังนั้น การบริหารความเสี่ยงจึงเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการตั้ง Stop-loss, การจัดการเงินทุนอย่างรอบคอบ รวมถึงการรักษาวินัยในการเทรด เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกินควบคุม
ผลิตภัณฑ์ทางการเงินใดบ้างที่ใช้เลเวอเรจได้?
มีผลิตภัณฑ์หลายประเภทที่เสนอการใช้เลเวอเรจ ช่วยให้นักลงทุนเพิ่มการเปิดรับตลาดโดยไม่ต้องใช้เงินจำนวนมาก ได้แก่:
- CFD (สัญญาซื้อขายส่วนต่าง): ข้อตกลงระหว่างนักลงทุนกับโบรกเกอร์ในการชำระส่วนต่างของราคาสินทรัพย์ตั้งแต่เปิดสถานะจนถึงปิดสถานะ บาง CFD มีการชำระรายวัน จึงต้องคำนึงถึงต้นทุนที่เกี่ยวข้อง สามารถเทรด CFD ได้หลากหลาย เช่น หุ้น ดัชนี ฟอเร็กซ์ สินค้าโภคภัณฑ์ คริปโต ฯลฯ
- ฟิวเจอร์ส (Futures Contracts): ข้อตกลงระหว่างสองฝ่ายในการซื้อหรือขายสินทรัพย์ในราคาที่ตกลงไว้ล่วงหน้า ณ วันที่ในอนาคต
- ออปชั่น (Options): สัญญาที่ให้สิทธิ์แก่ผู้ถือในการซื้อหรือขายสินทรัพย์ที่ราคากำหนดไว้ภายในระยะเวลาที่กำหนด โดยไม่จำเป็นต้องใช้ออปชั่นนั้นก็ได้ ต่างจากฟิวเจอร์สที่ต้องถือสัญญาจนถึงวันครบกำหนด
ความเสี่ยงของเลเวอเรจทางการเงินมีอะไรบ้าง?
เลเวอเรจสามารถขยายได้ทั้งกำไรและขาดทุน เนื่องจากการเทรดแบบมีเลเวอเรจใช้ทั้งเงินตัวเองและเงินที่กู้ นักลงทุนจึงต้องชำระคืนเงินที่กู้ไม่ว่าจะขาดทุนหรือไม่ ความเสี่ยงหลัก 3 อย่างได้แก่:
- ขาดทุนขยายตัว (Magnified losses): แม้เลเวอเรจเพิ่มโอกาสทำกำไร แต่มันก็เพิ่มความเสี่ยงให้ขาดทุนรุนแรง ซึ่งอาจเกินกว่าทุนเริ่มต้น
- ต้นทุนดอกเบี้ย (Interest costs): เงินที่กู้จะเกิดดอกเบี้ย และต้องจ่ายแม้การเทรดจะขาดทุน
- การเรียกมาร์จิ้น (Margin calls): หากตลาดเคลื่อนไหวในทิศทางตรงข้ามจนเกิดขาดทุนมาก โบรกเกอร์อาจเรียกร้องให้เติมเงินเพิ่มเติมเพื่อรักษาสถานะไว้ หากไม่สามารถเติมเงินได้ สถานะอาจถูกปิดอัตโนมัติ
เคล็ดลับสำคัญในการใช้เลเวอเรจทางการเงินอย่างชาญฉลาด
หากคุณเป็นนักเทรดและต้องการรับความเสี่ยง อย่าเสี่ยงแบบผิดวิธี และอย่าลืมเคล็ดลับเหล่านี้ เพื่อใช้เลเวอเรจอย่างมีสติและปลอดภัย:
1. เริ่มจากเลเวอเรจต่ำ
เลเวอเรจสูงเท่ากับความเสี่ยงที่สูง หากคุณเพิ่งเริ่มเทรดแบบมีเลเวอเรจ ควรเริ่มจากอัตราส่วนต่ำๆ เช่น 1:2 หรือ 1:5 เพื่อจัดการความเสี่ยงได้ดีขึ้น
2. ใช้คำสั่ง Stop-loss
Stop-loss ช่วยป้องกันการขาดทุนเกินจำเป็น โดยจะปิดสถานะอัตโนมัติเมื่อราคาตลาดเคลื่อนไหวสวนทาง อย่าเทรดโดยไม่มีคำสั่งนี้เด็ดขาด
3. อย่าเสี่ยงเกินกว่าที่คุณจะยอมเสียได้
เลเวอเรจอาจนำไปสู่การขาดทุนจำนวนมาก ซึ่งอาจมากกว่าเงินที่คุณลงทุนไว้ ควรใช้เงินที่คุณสามารถยอมขาดทุนได้เท่านั้น
4. เข้าใจเรื่อง Margin Call
หากขาดทุนใกล้ถึงระดับมาร์จิ้น โบรกเกอร์อาจเรียกให้คุณเติมเงินเพิ่ม หากไม่สามารถเติมได้ ตำแหน่งการเทรดอาจถูกปิดโดยอัตโนมัติ
5. เลือกประเภทสินทรัพย์ให้เหมาะกับความเสี่ยง
บางตลาดเช่น Forex เปิดให้ใช้เลเวอเรจสูงถึง 1:500 แต่ตลาดอื่นเช่นหุ้น จะค่อนข้างระมัดระวังมากกว่า ควรเลือกสินทรัพย์ที่เหมาะกับระดับความเสี่ยงที่คุณรับได้
6. ระวังต้นทุนดอกเบี้ย
เงินที่กู้มานั้นมีค่าธรรมเนียมและดอกเบี้ย ซึ่งอาจกินผลกำไรของคุณ หากถือสถานะไว้นานเกินไป
7. ใช้เลเวอเรจเฉพาะในโอกาสที่มั่นใจ
อย่าใช้เลเวอเรจในทุกการเทรด ควรสำรองไว้ใช้เมื่อมีความมั่นใจสูง และมีแผนบริหารความเสี่ยงที่ชัดเจน
8. ติดตามภาวะตลาดอย่างใกล้ชิด
การเทรดที่มีเลเวอเรจสูงอาจพลิกผันเร็วมาก ควรติดตามข่าวเศรษฐกิจ นโยบายธนาคารกลาง และตัวชี้วัดความผันผวนอยู่เสมอ
9. กระจายพอร์ตการลงทุน
อย่าลงทุนทั้งหมดไว้ในตำแหน่งเดียวที่มีเลเวอเรจสูง ควรกระจายความเสี่ยงไปในหลายตำแหน่งหรือสินทรัพย์
10. ศึกษาให้เข้าใจก่อนใช้เลเวอเรจ
เลเวอเรจคือดาบสองคม ควรใช้เวลาเรียนรู้ว่ามันทำงานอย่างไร ทดลองกับบัญชีเดโม และสร้างแผนบริหารความเสี่ยงก่อนใช้เงินจริง
บทสรุป
เลเวอเรจเป็นดาบสองคม สามารถช่วยขยายกำไรได้อย่างมาก แต่หากใช้อย่างประมาทก็อาจทำให้พอร์ตลงทุนพังได้ ไม่ว่าจะเป็นในโลกการเงินของบริษัท กองทุน หรือการเทรดรายบุคคล การเข้าใจเลเวอเรจจึงเป็นกุญแจสำคัญในการบริหารความเสี่ยงและการตัดสินใจอย่างชาญฉลาด
เครื่องมือนี้มีพลังสูงแต่ความเสี่ยงก็สูงเช่นกัน เลเวอเรจช่วยเพิ่มผลตอบแทน แต่ก็สามารถทำให้เกิดขาดทุนอย่างรุนแรงได้ ก่อนใช้เลเวอเรจ นักลงทุนควรเข้าใจหลักการทำงาน ต้นทุน และความเสี่ยงทั้งหมด พร้อมทั้งวางแผนอย่างรอบคอบ บริหารความเสี่ยงอย่างจริงจัง และวิเคราะห์ตลาดอย่างลึกซึ้ง เพื่อให้การใช้เลเวอเรจมีประสิทธิภาพโดยไม่เสี่ยงเกินควบคุม
เลเวอเรจทางการเงินเป็นเครื่องมือทรงพลังที่ช่วยให้นักลงทุนขยายการเปิดรับตลาด โดยใช้เงินที่กู้ยืมหรือใช้เครื่องมือทางการเงินที่มีเลเวอเรจในตัว ซึ่งนิยมใช้ทั้งในหมู่นักลงทุนรายบุคคลและบริษัท เพื่อเพิ่มผลตอบแทนโดยใช้เงินทุนของตัวเองเพียงบางส่วน
แม้เลเวอเรจจะช่วยเพิ่มกำไรได้มาก แต่ก็มีความเสี่ยงสูงเช่นกัน เพราะอาจทำให้ขาดทุนเกินกว่าทุนเริ่มต้นได้
เลเวอเรจภายนอกหมายถึงการกู้เงินจากบุคคลที่สาม เช่น โบรกเกอร์ ขณะที่เลเวอเรจภายในจะฝังอยู่ในผลิตภัณฑ์บางประเภท เช่น CFDs, ฟิวเจอร์ส และออปชั่น
อัตราส่วนเลเวอเรจ เช่น 1:2 หรือ 1:10 หมายถึงจำนวนเงินที่นักลงทุนกู้เมื่อเทียบกับเงินของตัวเอง แม้เลเวอเรจจะเพิ่มโอกาสทำกำไร แต่ก็ขยายความเสียหายเช่นกัน หากใช้อย่างไม่ระมัดระวัง อาจทำให้ถูกเรียกมาร์จิ้น หรือแม้แต่เผชิญกับภาวะล้มละลายทางการเงินได้
ดังนั้น การใช้เลเวอเรจอย่างมีประสิทธิภาพ นักลงทุนต้องเข้าใจกลยุทธ์บริหารความเสี่ยง ประเมินความสามารถในการรับขาดทุน และพิจารณาว่าผลตอบแทนที่คาดหวังคุ้มค่ากับต้นทุนการกู้ยืมหรือไม่ ไม่ว่าจะใช้ในตลาดเทรดหรือในองค์กรธุรกิจ เลเวอเรจควรถูกใช้อย่างระมัดระวังและมีแผนการที่ชัดเจนเสมอ
เอกสารฉบับนี้จัดทำขึ้นเพื่อให้ข้อมูลเบื้องต้นและใช้สำหรับการศึกษาเท่านั้น ความคิดเห็น การวิเคราะห์ ราคา หรือเนื้อหาอื่น ๆ ในเอกสารนี้ ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้คำแนะนำในการลงทุน หรือเพื่อให้ความเข้าใจด้านกฎหมายของประเทศ Belize
ผลประกอบการในอดีตไม่ได้เป็นการรับประกันถึงผลประกอบการในอนาคต การกระทำหรือการตัดสินใจใด ๆ ตามข้อมูลในเอกสารนี้ เป็นความเสี่ยงของผู้ดำเนินการเอง XTB ไม่มีส่วนรับผิดชอบต่อความสูญเสีย ความเสียหาย หรือผลกำไรหรือขาดทุนใด ๆ ที่อาจเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือทางอ้อมจากการใช้ข้อมูลในเอกสารนี้
ทุกการตัดสินใจลงทุนควรพิจารณาอย่างรอบคอบ และเป็นความรับผิดชอบของท่านเอง