Margin Call และ Stop Out คืออะไร? อธิบายชัด สำหรับเทรดเดอร์มือใหม่

บทความที่เกี่ยวข้อง:
เวลาอ่าน: 3 นาที
Margin Call และ Stop Out คืออะไร?

เมื่อเกิด Margin Call และ Stop Out นักเทรดที่นิยมใช้เลเวอเรจมักรู้สึกกังวล แต่หากคุณเข้าใจกลไกการทำงานของระบบ และมีการเตรียมพร้อมล่วงหน้าอย่างถูกต้อง คุณสามารถหลีกเลี่ยงการปิดออเดอร์อัตโนมัติที่ไม่จำเป็น และปกป้องเงินทุนได้
คู่มือนี้รวบรวมทุกสิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับการจัดการมาร์จิ้น พร้อมเคล็ดลับที่นำไปใช้ได้จริง เพื่อช่วยให้คุณเทรดอย่างชาญฉลาด และเพิ่มโอกาสความสำเร็จในระยะยาว

การเทรดแบบใช้มาร์จิ้นช่วยให้คุณมีโอกาสทำกำไรมากขึ้น แต่ก็มีความเสี่ยงสูงเช่นกัน เพราะคุณอาจเสียเงินมากกว่าที่คิด ช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด คือเมื่อโบรกเกอร์ส่งสัญญาณเตือน Margin Call ว่าทุนของคุณกำลังใกล้ระดับอันตราย ถ้ายอดทุนลดลงไปอีก ระบบจะทำ Trigger Stop Out ปิดการเทรดของคุณอัตโนมัติเพื่อป้องกันการขาดทุนหนักขึ้น

คุณจะหลีกเลี่ยงการถูก Stop Out อย่างไร และทำไมโบรกเกอร์จึงต้องบังคับใช้กฎเหล่านี้? ไม่ว่าคุณจะเป็นนักเทรดมือใหม่หรือกำลังหาวิธีจัดการความเสี่ยง การเข้าใจเรื่อง Margin Call และ Stop Out เป็นสิ่งสำคัญต่อความสำเร็จในระยะยาว คู่มือนี้จะอธิบายแนวคิดเหล่านี้แบบง่าย ๆ ชัดเจน เพื่อช่วยให้คุณควบคุมการเทรดได้ดีขึ้น และหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดที่มักทำให้นักเทรดหลายคนประสบปัญหาโดยไม่ทันตั้งตัว

ประเด็นสำคัญ

  • Margin Call จะแจ้งเตือนเมื่อทุนในบัญชีของคุณต่ำเกินไปและต้องเติมเงิน หากไม่ดำเนินการ ระบบจะเข้าสู่ขั้นตอน Stop Out ซึ่งจะปิดการเทรดโดยอัตโนมัติเพื่อป้องกันการขาดทุนเพิ่มเติม
  • เลเวอเรจเป็นดาบสองคม เลเวอเรจช่วยให้เทรดเดอร์สามารถควบคุมตำแหน่งที่ใหญ่ขึ้นด้วยเงินทุนน้อย แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงอย่างมาก แม้การเคลื่อนไหวของตลาดเพียงเล็กน้อยก็อาจทำให้เกิด Margin Call หรือ Stop Out และอาจทำให้บัญชีสูญเสียได้อย่างรวดเร็ว
  • XTB กำหนดระดับ Stop Out ไว้ที่ 50% การเข้าใจข้อกำหนดเกี่ยวกับมาร์จิ้นของโบรกเกอร์จึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการบริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ
  • การตั้ง Stop-Loss ช่วยให้นักเทรดสามารถออกจากการเทรดที่ขาดทุนก่อนที่จะเกิด Margin Call ได้ ช่วยปกป้องทุนและหลีกเลี่ยงการถูกบังคับปิดตำแหน่งโดยอัตโนมัติ
  • การรักษาระดับมาร์จิ้นให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงการใช้เลเวอเรจสูงเกินไป และติดตามสภาวะตลาดอย่างใกล้ชิด จะช่วยลดความเสี่ยงของ Margin Call และ Stop Out ได้อย่างมาก
  • แม้นักเทรดมืออาชีพก็เผชิญกับ Margin Call ในวิกฤติทางการเงินครั้งใหญ่หลายครั้ง ตัวอย่างเช่น เหตุการณ์ล่มสลายของ Archegos Capital ในปี 2021 เกิดจากการใช้เลเวอเรจมากเกินไปและไม่สามารถตอบสนองข้อกำหนดมาร์จิ้นได้
  • การเข้าใจ Margin Call และ Stop Out เป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักเทรดทุกระดับ การบริหารความเสี่ยงอย่างชาญฉลาดอาจเป็นตัวกำหนดระหว่างการอยู่รอดในตลาดหรือถูกบังคับให้ออกจากตลาด

 

Stop Out คืออะไร?

Stop Out เป็นกลไกที่ช่วยให้นักเทรดควบคุมและจำกัดการขาดทุนในการเทรดแบบใช้เลเวอเรจ กลไกนี้มักถูกใช้กับเครื่องมือการเทรด เช่น CFDs และฟิวเจอร์ส โดยจะทำงานเมื่อการเทรดที่เปิดอยู่ของนักเทรดขาดทุนหนัก จนโบรกเกอร์ต้องปิดตำแหน่งที่ขาดทุนน้อยที่สุดก่อน เพื่อป้องกันไม่ให้บัญชีติดลบ

ระดับ Stop Out มีความเกี่ยวข้องใกล้ชิดกับมาร์จิ้น ซึ่งคือเงินทุนที่นักเทรดต้องเตรียมเพื่อเปิดสถานะที่ใช้เลเวอเรจ เงินทุนส่วนนี้จะถูกล็อกไว้จนกว่าสถานะการเทรดจะถูกปิด เนื่องจากเลเวอเรจช่วยให้นักเทรดสามารถควบคุมตำแหน่งที่ใหญ่กว่าทุนจริงได้ กำไรและขาดทุนจึงสามารถเพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างมาก

เมื่อการขาดทุนเข้าใกล้ 50% ของมาร์จิ้นที่ต้องใช้ โบรกเกอร์จะส่งสัญญาณ Margin Call เพื่อขอให้นักเทรดเติมเงินเพิ่มเพื่อรักษาสถานะเปิดอยู่ หากการขาดทุนยังคงสะสมและระดับมาร์จิ้นลดลงต่ำกว่าขั้นต่ำที่โบรกเกอร์กำหนด กลไก Stop Out จะถูกเปิดใช้งาน และตำแหน่งจะถูกปิดโดยบังคับโดยอัตโนมัติ

Stop Out เกี่ยวข้องกับเลเวอเรจอย่างไร?

Stop Out เป็นกลไกป้องกันความเสี่ยงสำหรับการลงทุนที่ใช้เลเวอเรจ ซึ่งนักลงทุนทำการเทรดโดยใช้เงินมากกว่าทุนจริงที่มีอยู่

เลเวอเรจ (leverage) สามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ

  • เลเวอเรจภายนอก คือโบรกเกอร์ให้เงินกู้เพิ่มเติมแก่นักเทรดเพื่อเพิ่มทุนในการเปิดตำแหน่ง
  • เลเวอเรจภายใน คือเลเวอเรจที่มีอยู่แล้วในตัวสินทรัพย์หรือเครื่องมือทางการเงินบางประเภท เช่น ฟิวเจอร์ส ออปชัน และ CFDทำให้นักเทรดสามารถเปิดตำแหน่งใหญ่กว่าทุนที่มีอยู่จริงได้

ทั้งสองกรณีทำให้นักเทรดสามารถขยายขนาดตำแหน่ง ซึ่งหมายความว่ากำไรและขาดทุนจะถูกขยายตาม เลเวอเรจจึงเป็นโอกาสในการสร้างผลตอบแทนสูง แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงที่เงินทุนในบัญชีจะลดลงอย่างรวดเร็ว

เมื่อนักเทรดใช้เลเวอเรจ ต้องรักษามาร์จิ้นขั้นต่ำไว้ เงินส่วนนี้จะถูกล็อกจนกว่าตำแหน่งจะถูกปิด หากขาดทุนทำให้เงินทุนในบัญชีลดลงใกล้ 50% ของมาร์จิ้น โบรกเกอร์จะส่งสัญญาณ Margin Call เพื่อขอให้นักเทรดเติมเงิน แต่ถ้ายอดเงินลดต่ำกว่าระดับ Stop Out ที่โบรกเกอร์กำหนด ตำแหน่งที่เปิดอยู่จะถูกปิดโดยอัตโนมัติ

ตัวอย่าง: XTB กำหนด ระดับ Stop Out ที่ 50% หมายความว่า: เมื่อ เงินทุนในบัญชี ลดลงเหลือ 50% ของมาร์จิ้นที่ต้องมี ระบบจะ ทำการปิดสถานะบางส่วนอัตโนมัติ (Stop Out) ระดับนี้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ และใช้กับลูกค้าทุกคนของ XTB กลไกนี้ใช้เฉพาะการเทรด CFD เท่านั้น

จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเกิด Stop Out?

Stop Out ถูกออกแบบเพื่อปกป้องนักลงทุนจากการขาดทุนมากเกินไป เมื่อถึงระดับ Stop Out โบรกเกอร์จะปิดการเทรดที่ขาดทุนน้อยที่สุดอัตโนมัติเพื่อป้องกันไม่ให้บัญชีติดลบ

การเทรดด้วยเลเวอเรจทำให้กำไรและขาดทุนถูกทวีคูณ บางครั้งอาจเกินทุนที่มี เพื่อจัดการความเสี่ยงนักลงทุนควรบริหารเงินทุนและเลเวอเรจอย่างระมัดระวังโดย:

  • วิเคราะห์อย่างรอบคอบว่ากำไรที่อาจเกิดขึ้นนั้นคุ้มค่ากับความเสี่ยงหรือไม่
  • หลีกเลี่ยงการเทรดในตลาดที่ใช้เลเวอเรจหากไม่มีทุนเพียงพอสำหรับรองรับการขาดทุนที่อาจเกิดขึ้น
  • ศึกษาเครื่องมือทางการเงินที่เลือกใช้ให้ละเอียด และติดตามความเคลื่อนไหวของตลาดอย่างใกล้ชิด
  • เข้าใจความสามารถในการรับความเสี่ยงของตนเอง และสร้างกลยุทธ์ที่สอดคล้องกับเป้าหมายทางการเงิน

ด้วยการบริหารความเสี่ยงอย่างเหมาะสม นักเทรดสามารถลดความเสี่ยงจากเลเวอเรจ และยกระดับประสิทธิภาพการลงทุนโดยรวมได้

ระดับ Stop Out ที่ 50% หมายความว่าอย่างไร?

ระดับ Stop Out 50% คือเกณฑ์ที่โบรกเกอร์กำหนดไว้ หากยอดทุนในบัญชี (Equity) ลดลงเหลือ 50% ของมาร์จิ้นที่ต้องใช้ ระบบจะ ปิดการเทรดอัตโนมัติ เพื่อจำกัดการขาดทุน

  • มาร์จิ้น (Margin) คือเงินทุนที่ต้องใช้เพื่อเปิดและรักษาการเทรดแบบเลเวอเรจ
  • ยอดทุนในบัญชี (Equity) คือยอกเงินปัจจุบันของบัญชีเทรด รวมยอดเงินคงเหลือและกำไร/ขาดทุนจากการเทรดที่เปิดอยู่
  • เมื่อถึงระดับ Stop Out ระบบจะปิดสถานะที่ขาดทุนน้อยที่สุดก่อน เพื่อลดความเสียหาย

ตัวอย่าง Stop Out

สมมติคุณเปิดการเทรดแบบเลเวอเรจ โดยใช้มาร์จิ้น 1,000 ดอลลาร์ และโบรกเกอร์กำหนดระดับ Stop Out 50%

  • หากยอดทุนในบัญชี (Equity) ลดลงเหลือ 500 ดอลลาร์ (50% ของมาร์จิ้น) ระบบจะปิดสถานะบางส่วนหรือทั้งหมดอัตโนมัติ
  • ระบบจะเริ่มจากปิดการเทรดที่ขาดทุนมากที่สุดก่อนเพื่อจำกัดความเสียหาย
  • แม้ว่ากลไกนี้จะช่วยป้องกันไม่ให้บัญชีติดลบ แต่ก็หมายความว่าคุณจะเสียการควบคุมว่าจะปิดการเทรดใดบ้าง

ทำไมโบรกเกอร์จึงกำหนดระดับ Stop Out ที่ 50%?

  • ป้องกันความเสี่ยง เพื่อลดความเสียหายจากการขาดทุนของลูกค้า
  • ป้องกันยอดเงินติดลบ หากไม่มีกลไก Stop Out ความเสียหายอาจเกินยอดเงินในบัญชี ทำให้ลูกค้าต้องเป็นหนี้
  • ส่งเสริมการใช้เลเวอเรจอย่างมีวินัย กระตุ้นให้นักเทรดบริหารความเสี่ยงและหลีกเลี่ยงการเปิดสถานะเกินกำลังทุน

ตัวอย่าง: ระดับ Stop Out 50% อาจถูกเรียกใช้เมื่อเทรดดัชนี US100 (Nasdaq 100 Futures หรือ CFD) ด้วยเลเวอเรจ 1:20

การตั้งค่าการเทรด

  • ผลิตภัณฑ์: US100
  • เลเวอเรจที่ใช้: 1:20
  • ยอดเงินในบัญชี: 2,000 ดอลลาร์
  • ปริมาณการเทรด: 1 ล็อต (เทียบเท่าการเปิดตลาดมูลค่า 20,000 ดอลลาร์ เนื่องจากเลเวอเรจ 1:20)
  • มาร์จิ้นที่ต้องใช้: เนื่องจากใช้เลเวอเรจ 1:20 ทาง XTB กำหนดให้ใช้มาร์จิ้น 5% ในการเปิดการเทรด มาร์จิ้นที่ต้องใช้ = 20,000 × 5% = 1,000 ดอลลาร์
  • ระดับ Stop Out: 50% ของมาร์จิ้นที่ต้องใช้ (500 ดอลลาร์)

หลักการทำงานของ Stop Out

คุณเปิดสถานะซื้อ (Long) ดัชนี US100 ที่ระดับ 15,000 จุด โดยมีปริมาณเทรด 1 ล็อต ตลาดกลับตัวลงทำให้ราคาดัชนี US100 ลดลง ทุนในบัญชี (Equity) ซึ่งคำนวณจากยอดเงินคงเหลือ (Balance) บวกกับกำไร/ขาดทุนที่ยังไม่ปิดสถานะ (Floating P/L) เริ่มลดลง เมื่อขาดทุนลอยตัว (Floating Loss) อยู่ที่ -1,500 ดอลลาร์ ทุนในบัญชีจะเหลือเพียง 500 ดอลลาร์:

  • ยอดเงินคงเหลือ (Balance): 2,000 ดอลลาร์
  • ขาดทุนลอยตัว (Floating Loss): -1,500 ดอลลาร์
  • ทุนในบัญชี (Equity): 2,000 - 1,500 = 500 ดอลลาร์

เนื่องจากทุนในบัญชีลดลงมาเหลือ 50% ของมาร์จิ้นที่ต้องใช้ (500 ดอลลาร์) โบรกเกอร์จึงทำการกระตุ้น Stop Out โดยอัตโนมัติระบบจะทำการบังคับปิดสถานะ (Stop Out) อัตโนมัติเพื่อป้องกันไม่ให้ยอดเงินติดลบ

ผลลัพธ์

สถานะของคุณถูกปิดที่ขาดทุน และคุณเหลือเงินในบัญชี 500 ดอลลาร์ ถ้าตลาดยังคงลดลงต่อไปและยังไม่ถึงระดับ Stop Out คุณอาจสูญเสียเงินมากกว่านี้ จนอาจทำให้บัญชีของคุณหมดตัวได้

วิธีหลีกเลี่ยงการถูก Stop Out

การเข้าใจระดับ Stop Out เป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้คุณสามารถอยู่ในตลาดได้ และป้องกันการถูกบังคับปิดสถานะที่จะทำให้บัญชีของคุณสูญเสียทั้งหมด

  • ใช้เลเวอเรจต่ำลงเพื่อลดความเสี่ยง
  • ติดตามระดับมาร์จิ้นและรักษาทุนในบัญชีให้มีความมั่นคง
  • ตั้งคำสั่ง Stop-Loss เพื่อออกจากการเทรดก่อนถึงระดับวิกฤต
  • เติมเงินเพิ่มเมื่อได้รับ Margin Call

ตัวอย่างเช่น หากมาร์จิ้นที่ต้องใช้คือ 1,000 ดอลลาร์ การถูก Stop Out จะเกิดขึ้นเมื่อยอดทุนในบัญชีลดลงเหลือ 500 ดอลลาร์

เคล็ดลับเกี่ยวกับ Margin Call

  • ตรวจสอบระดับมาร์จิ้นของคุณเป็นประจำ ติดตามเปอร์เซ็นต์มาร์จิ้นของคุณเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้เข้าใกล้ระดับที่อันตราย หากระดับมาร์จิ้นลดลงต่ำกว่า 100% จะมีโอกาสเกิด Margin Call ในไม่ช้า
  • ใช้เลเวอเรจที่ต่ำลง เลเวอเรจสูงช่วยเพิ่มกำไรแต่ก็เพิ่มความเสี่ยงเช่นกัน สำหรับผู้เริ่มต้นเทรด ควรใช้เลเวอเรจที่ต่ำลงเพื่อลดโอกาสถูก Stop Out
  • ตั้งคำสั่ง Stop-Loss เพื่อจำกัดการขาดทุนก่อนที่มาร์จิ้นของคุณจะต่ำเกินไป ด้วยวิธีนี้ คุณจะออกจากการเทรดตามแผนของตัวเอง แทนที่จะถูกบังคับออกโดย Stop Out
  • รักษาเงินสำรองในมาร์จิ้น เก็บเงินทุนสำรองในบัญชีเทรดของคุณเพื่อเป็นบรรทัดฐานความปลอดภัย บัญชีที่มีเงินสำรองเพียงพอจะช่วยให้คุณมีพื้นที่หายใจในช่วงตลาดผันผวน
  • หลีกเลี่ยงการเทรดมากเกินไป การเปิดตำแหน่งจำนวนมากพร้อมกันอาจทำให้มาร์จิ้นของคุณหมดเร็ว เก็บแผนการเทรดและตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีทุนเพียงพอสำหรับสถานะเปิดอยู่
  • ติดตามข่าวสารตลาดอย่างใกล้ชิด ข้อมูลเศรษฐกิจ ข่าวภูมิรัฐศาสตร์ และการตัดสินใจของธนาคารกลางสามารถทำให้ราคาผันผวนอย่างรุนแรงและกระตุ้น Margin Call ได้ เตรียมพร้อมรับมือกับเหตุการณ์สำคัญที่จะส่งผลต่อตำแหน่งของคุณ
  • ตอบสนองต่อ Margin Call อย่างรวดเร็ว ถ้าคุณได้รับ Margin Call ให้รีบดำเนินการทันที ไม่ว่าจะเป็นการเติมเงินในบัญชีหรือปิดบางตำแหน่งเพื่อเพิ่มมาร์จิ้น ก่อนที่จะถูก Stop Out

ข้อมุลน่ารู้

  • Margin Call ในวิกฤตการเงินโลก (GFC): หนึ่งในเหตุการณ์ Margin Call ที่เลวร้ายที่สุดเกิดขึ้นในปี 2008 ระหว่างการล้มละลายของ Lehman Brothers ซึ่งเป็นตัวจุดชนวนให้เกิดวิกฤตการณ์ทางการเงิน การใช้เลเวอเรจขนาดใหญ่และสถานะความเสี่ยงสูงบังคับให้องค์กรและกองทุนเฮดจ์ฟันด์ต้องเผชิญกับ Margin Call มูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ นำไปสู่การขายหุ้นถล่มตลาดทั่วโลก
  • หตุการณ์ล่มสลายของ Archegos Capital Management โดย Bill Hwang: ในปี 2021 กองทุนเฮดจ์ฟันด์ Archegos ของ Bill Hwang ประสบกับการล่มสลายที่เกิดจาก Margin Call ครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ กองทุนใช้เลเวอเรจเกินขนาด และเมื่อหุ้นเช่น ViacomCBS และ Discovery ร่วงลงอย่างไม่คาดคิด โบรกเกอร์จึงออก Margin Call แต่ Archegos ไม่สามารถตอบสนองได้ ทำให้ธนาคารต้องบังคับขายทรัพย์สินมูลค่ากว่า 30 พันล้านดอลลาร์ ส่งผลกระทบต่อตลาดอย่างกว้างขวาง
  • นักลงทุนจำนวนมากถูกดึงดูดโดยเลเวอเรจเนื่องจากให้โอกาสรับผลตอบแทนสูงโดยใช้ทุนต่ำ แต่ในกรณีรุนแรง Margin Call และ Stop Out สามารถทำลายบัญชีทั้งหมดได้ภายในไม่กี่นาที โดยเฉพาะในตลาดที่มีความผันผวนสูง
  • บทบาทของ Flash Crashes: การซื้อขายความถี่สูงและเลเวอเรจเป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิด Flash Crash ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ราคาหุ้นผันผวนอย่างรวดเร็วจนระบบ Stop Out และ Margin Call ทำงานอัตโนมัติก่อให้เกิดการบังคับปิดสถานะจำนวนมาก ตัวอย่างที่หลายคนรู้จักคือ Flash Crash ในปี 2010 ที่ Dow Jones ดิ่งลงเกือบ 1,000 จุดในเวลาไม่กี่นาที ซึ่งเกิดจากการบังคับขายอัตโนมัติบางส่วน

บทสรุป

เข้าใจเกี่ยวกับ Margin Call และกลไก Stop Out เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับนักเทรดที่ใช้เลเวอเรจเพราะแม้เลเวอเรจจะช่วยขยายโอกาสทำกำไร แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงต่อการขาดทุนอย่างรวดเร็ว ดังนั้น การบริหารความเสี่ยงอย่างมีระบบจึงเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้

Margin Call คือสัญญาณเตือนจากโบรกเกอร์ว่าบัญชีของคุณต้องเพิ่มเงินทุน หรือปิดบางสถานะเพื่อให้มาร์จิ้นกลับมาอยู่ในระดับที่ปลอดภัย หากยอดทุนในบัญชี (Equity) ลดลงต่อเนื่องจนถึงระดับ Stop Out ที่โบรกเกอร์กำหนด ระบบจะปิดสถานะอัตโนมัติเพื่อลดความเสี่ยงที่จะทำให้บัญชีติดลบ

สำหรับ XTB กลไก Stop Out จะทำงานเมื่อยอดทุนในบัญชีเหลือเพียง 50% ของมาร์จิ้นที่ใช้ และระดับนี้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้เพื่อให้การเทรดด้วยเลเวอเรจมีประสิทธิภาพ นักเทรดควรติดตามระดับมาร์จิ้น สภาพตลาด และการบริหารความเสี่ยงอย่างใกล้ชิด

 

เอกสารฉบับนี้จัดทำขึ้นเพื่อให้ข้อมูลเบื้องต้นและใช้สำหรับการศึกษาเท่านั้น ความคิดเห็น การวิเคราะห์ ราคา หรือเนื้อหาอื่น ๆ ในเอกสารนี้ ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้คำแนะนำในการลงทุน หรือเพื่อให้ความเข้าใจด้านกฎหมายของประเทศ Belize
ผลประกอบการในอดีตไม่ได้เป็นการรับประกันถึงผลประกอบการในอนาคต การกระทำหรือการตัดสินใจใด ๆ ตามข้อมูลในเอกสารนี้ เป็นความเสี่ยงของผู้ดำเนินการเอง XTB ไม่มีส่วนรับผิดชอบต่อความสูญเสีย ความเสียหาย หรือผลกำไรหรือขาดทุนใด ๆ ที่อาจเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือทางอ้อมจากการใช้ข้อมูลในเอกสารนี้
ทุกการตัดสินใจลงทุนควรพิจารณาอย่างรอบคอบ และเป็นความรับผิดชอบของท่านเอง
 
คำว่า 'FAQ' ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของชุดคำถามที่พบบ่อย

คำถามที่พบบ่อย

  • Margin Call คือคำเตือนจากโบรกเกอร์ของคุณว่ายอดเงินในบัญชีของคุณต่ำเกินกว่าที่จะรักษาสถานะเปิดไว้ได้ ทำให้คุณต้องฝากเงินเพิ่ม
  • Stop Out เกิดขึ้นเมื่อมูลค่าสุทธิของคุณลดลงถึงระดับวิกฤต ซึ่งนำไปสู่การปิดสถานะซื้อขายของคุณโดยอัตโนมัติเพื่อป้องกันการขาดทุนเพิ่มเติม

ระดับ Stop Out แตกต่างกันไปตามโบรกเกอร์ แต่โดยทั่วไปจะอยู่ระหว่าง 20% ถึง 50% ของมาร์จิ้นที่ต้องการ ตัวอย่างเช่น หากโบรกเกอร์มีระดับ Stop Out ที่ 50% ระบบจะเริ่มปิดสถานะเมื่อมูลค่าสุทธิในบัญชีของเทรดเดอร์ลดลงเหลือ 50% ของมาร์จิ้นที่ต้องการ

เพื่อลดความเสี่ยงจากการ Margin Call และ Stop Out เทรดเดอร์ควร:

  • ใช้คำสั่ง Stop Loss เพื่อควบคุมการขาดทุนที่อาจเกิดขึ้น
  • รักษาระดับมาร์จิ้นให้อยู่ในระดับที่ดีโดยไม่ใช้เลเวอเรจมากเกินไป
  • ตรวจสอบสภาวะตลาดและยอดคงเหลือในบัญชีเป็นประจำ
  • ฝากเงินเพิ่มเติมเมื่อมีการเรียกหลักประกัน

หากไม่มีการฝากเงินเพิ่มเติม โบรกเกอร์อาจเริ่มปิดสถานะการซื้อขายโดยอัตโนมัติตามราคาตลาด การปิดสถานะดังกล่าวอาจทำให้เกิดการขาดทุนจำนวนมาก และในกรณีร้ายแรง อาจทำให้บัญชีมียอดคงเหลือเป็นศูนย์หรือติดลบ ขึ้นอยู่กับนโยบายของโบรกเกอร์

สามารถทำได้ หากมียอดเงินคงเหลือเพียงพอในบัญชี แต่หากยอดคงเหลือหมดลง จะต้องมีการฝากเงินเพิ่มก่อนจึงจะสามารถเปิดการซื้อขายใหม่ได้

สาเหตุอาจมาจากระดับ Stop Out หากมูลค่าสุทธิ (Equity) ในบัญชีต่ำกว่าเกณฑ์ Stop Out ที่โบรกเกอร์กำหนด ระบบจะปิดสถานะโดยอัตโนมัติ แม้จะไม่ได้ตั้งคำสั่ง Stop Loss ไว้ก็ตาม

เข้าสู่ตลาดพร้อมลูกค้าของ XTB Group กว่า 1 700 000 ราย

ผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เราให้บริการมีความเสี่ยง เศษหุ้น (Fractional Shares) เป็นผลิตภัณฑ์ที่ให้บริการจาก XTB แสดงถึงการเป็นเจ้าของหุ้นบางส่วนหรือ ETF เศษหุ้นไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ทางการเงินอิสระ สิทธิของผู้ถือหุ้นอาจถูกจำกัด
ความสูญเสียสามารถเกินกว่าเงินที่ฝาก