- ตลาดสหรัฐประสบกับการเทขายครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ปี 2022 หลังจากที่อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศมาตรการภาษีศุลกากรแบบกว้างขวาง ซึ่งสร้างความตื่นตระหนกให้กับนักลงทุน ดัชนี US500 ร่วงลง 1.8% (ซึ่งอาจเป็นการลดลงในวันเดียวที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2022) ดัชนีเทคโนโลยี US100 ลดลง 1.5% และดัชนี US30 ลดลง 2% (ประมาณ 1,248 จุด)
- ตลาดหุ้นยุโรปก็เผชิญกับการขาดทุนอย่างหนัก โดย DAX ของเยอรมนี ร่วงลง 3%, CAC 40 ของฝรั่งเศส ลดลง 3%, และ ตลาดหุ้นอิตาลี ประสบกับการลดลงในวันเดียวที่รุนแรงที่สุดในรอบกว่าสองปี ขณะที่ STOXX 600 ทั่วทั้งยุโรปลดลง 2.7% แตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนมกราคม และลดลงมากกว่า 7% จากระดับสูงสุดในต้นเดือนมีนาคม
- ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศใช้มาตรการ "ภาษีตอบโต้" (reciprocal tariffs) อย่างกว้างขวางในสิ่งที่เขาเรียกว่า "วันปลดปล่อย" (Liberation Day) โดยกำหนด ภาษีนำเข้า 10% สำหรับสินค้าทุกชนิด และภาษีเพิ่มเติมในแต่ละประเทศ ได้แก่ จีน 34% (รวมเป็น 54%), สหภาพยุโรป 20%, เวียดนาม 46%, ไทย 37%, และประเทศอื่น ๆ ถูกเก็บภาษีในช่วง 20-49% มาตรการภาษีทั่วไปจะเริ่มบังคับใช้ในวันที่ 5 เมษายน และภาษีเพิ่มเติมของแต่ละประเทศจะเริ่มในวันที่ 9 เมษายน
- ตลาดน้ำมันเผชิญกับแรงเทขายอย่างหนักในวันพฤหัสบดี โดยราคาน้ำมันดิบดิ่งลงแรงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2020 ได้รับผลกระทบจากประกาศภาษีของทรัมป์และการตัดสินใจที่ไม่คาดคิดของ OPEC+ ในการเร่งเพิ่มการผลิต ฟิวเจอร์สน้ำมันดิบ West Texas Intermediate (WTI) ร่วงลงถึง 7.4% ต่ำกว่าระดับ 67 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่ Brent ซึ่งเป็นมาตรฐานน้ำมันดิบโลก ลดลงมากกว่า 7% ต่ำกว่าระดับ 70 ดอลลาร์
- หุ้นของ Apple ดิ่งลง 8% ทำให้มูลค่าตลาดหายไป 280 พันล้านดอลลาร์ เนื่องจากนักลงทุนประเมินผลกระทบจากภาษี ประมาณ 85% ของ iPhone ถูกผลิตในจีน ซึ่งต้องเผชิญกับภาษี 54% และอีก 15% ถูกผลิตในอินเดียซึ่งต้องเสียภาษี 26% นักวิเคราะห์จาก Jefferies เตือนว่าภาษีอาจทำให้กำไรสุทธิของ Apple ในปีงบประมาณ 2025 ลดลงถึง 14% หากไม่มีการยกเว้น ขณะที่นักวิเคราะห์จาก Rosenblatt คาดว่าบริษัทอาจต้องเผชิญ ต้นทุนภาษีสูงถึง 39.5 พันล้านดอลลาร์
- ภาคการธนาคารได้รับผลกระทบหนัก ดัชนี KBW Nasdaq Bank ลดลงมากกว่า 8% โดย Citigroup เป็นผู้นำการขาดทุน (-9.9%) ตามมาด้วย Bank of America (-9%), Goldman Sachs, Morgan Stanley และ Wells Fargo ต่างลดลงระหว่าง 7.6-7.9% ดัชนีธนาคารตอนนี้ลดลงเกือบ 12% ตั้งแต่ต้นปี ท่ามกลางความไม่แน่นอนด้านนโยบาย
- หุ้นกลุ่มค้าปลีกและสินค้าผู้บริโภคลดลงอย่างรุนแรง โดย Five Below, Dollar Tree และ Gap ต่างเผชิญการขาดทุนเป็นเลขสองหลัก Nike และ Walmart ร่วงลงเนื่องจากผลกระทบจากภาษีต่อศูนย์การผลิตหลัก ขณะที่ผู้ผลิตอุปกรณ์กีฬาอย่าง Adidas และ Puma ต่างลดลงมากกว่า 11% เนื่องจากประเทศที่เป็นแหล่งผลิตสำคัญถูกเก็บภาษีสูง
- ในทางกลับกัน หุ้นกลุ่มเวชภัณฑ์ปรับตัวขึ้นชั่วคราว เนื่องจากบริษัทยาขนาดใหญ่ได้รับการยกเว้นจากภาษีในทันที ทำให้ AbbVie และ Johnson & Johnson ปรับตัวขึ้นประมาณ 2% สวนทางกับตลาดโดยรวม อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่สหรัฐระบุว่ากำลังมีแผนเก็บภาษีในอุตสาหกรรมยาในอนาคต โดยทรัมป์คาดการณ์ว่าบริษัทเวชภัณฑ์จะต้อง "กลับมาผลิตในสหรัฐ" หรือไม่ก็เผชิญกับ "ภาษีก้อนโต"
- นักกลยุทธ์จาก Bank of America เตือนว่าภาษีเหล่านี้ถือเป็น "สถานการณ์เลวร้ายที่สุด" และอาจทำให้ อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐเพิ่มขึ้น 1-1.5% พร้อมกับส่งผลกระทบต่อ GDP ในระดับเดียวกัน ซึ่งอาจทำให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย UBS คาดการณ์ว่าภาษีเหล่านี้อาจทำให้ GDP ที่แท้จริงของสหรัฐลดลง 1.5-2 จุดเปอร์เซ็นต์ในปี 2025 และอาจผลักดันให้อัตราเงินเฟ้อแตะระดับ 5%
- ความกังวลเรื่องสงครามการค้าได้บดบังข้อมูลเชิงบวกเกี่ยวกับตลาดแรงงาน โดยตัวเลขการขอรับสวัสดิการว่างงานลดลง 6,000 ราย ในสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 29 มีนาคม ซึ่งบ่งชี้ถึงความแข็งแกร่งของตลาดแรงงาน ก่อนที่รายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตร (nonfarm payrolls) จะถูกจับตามองในวันศุกร์
- ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) เผชิญกับการตัดสินใจเชิงนโยบายที่ยากลำบาก โดยนักลงทุนในตลาดคาดการณ์ว่า Fed อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ย 4 ครั้งในปีนี้ เนื่องจากความกังวลเรื่องภาวะเศรษฐกิจถดถอยมีน้ำหนักมากกว่าความกังวลเรื่องเงินเฟ้อ Philip Jefferson รองประธาน Fed ระบุว่า "ไม่มีความจำเป็นต้องเร่งรีบในการปรับลดดอกเบี้ย" พร้อมเน้นย้ำถึงความสำคัญของการประเมินผลกระทบของนโยบายที่ผ่านมา
- รายงานของ EIA บ่งชี้ว่าปริมาณก๊าซธรรมชาติในคลังสำรองเพิ่มขึ้นมากกว่าที่คาดการณ์ โดยเพิ่มขึ้น 29 พันล้านลูกบาศก์ฟุต (เทียบกับคาดการณ์ที่ 27 พันล้านลูกบาศก์ฟุต) ทำให้ฟิวเจอร์สก๊าซธรรมชาติลดลงมากกว่า 1% อย่างไรก็ตาม ราคายังคงสูงกว่าระดับปิดของวันก่อนหน้าถึง 3%
- ในขณะเดียวกัน ร่างกฎหมายของวุฒิสภาที่เสนอโดย Chuck Grassley (R) และ Maria Cantwell (D) มีเป้าหมายเพื่อ จำกัดอำนาจของประธานาธิบดีในการกำหนดภาษีศุลกากร กฎหมายนี้กำหนดให้ภาษีใหม่ต้องได้รับการอนุมัติจากรัฐสภาภายใน 60 วัน วุฒิสมาชิก Rand Paul เตือนว่าการเก็บภาษีครั้งใหญ่ในอดีตเคยนำไปสู่การสูญเสียที่นั่งของพรรครีพับลิกันในการเลือกตั้งครั้งสำคัญ
