อ่านเพิ่มเติม

มือใหม่กับหุ้นสาธารณูปโภค: รู้ก่อนลงทุน

บทความที่เกี่ยวข้อง:
เวลาอ่าน: 3 นาที
ลงทุนในหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภค

หุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคขึ้นชื่อในด้านความมั่นคง การจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ และความสามารถในการป้องกันความเสี่ยง ทำให้เป็นตัวเลือกที่เหมาะสำหรับนักลงทุนสายอนุรักษ์นิยมและผู้วางแผนการลงทุนระยะยาว ในคู่มือนี้เราจะช่วยให้คุณเข้าใจวิธีคัดเลือกบริษัทสาธารณูปโภคที่แข็งแกร่ง วิเคราะห์ผลประกอบการ และสร้างพอร์ตที่ให้รายได้มั่นคงท่ามกลางภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลง เหมาะอย่างยิ่งสำหรับมือใหม่ที่สนใจลงทุนในบริการที่จำเป็นต่อชีวิตประจำวัน

หุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคมีบทบาทเป็นเสมือนเสถียรภาพทางการเงินที่มั่นคงมายาวนาน ในช่วงเวลาที่ตลาดมีความตื่นตัวหรือความตื่นตระหนก บริษัทเหล่านี้ยังคงส่งมอบน้ำ ไฟฟ้า และความร้อน ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นที่ไม่เคยตกยุค แม้เศรษฐกิจจะชะลอตัวหรือเงินเฟ้อจะส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ แม้ว่าหุ้นกลุ่มนี้จะไม่ค่อยเป็นข่าว แต่สาธารณูปโภคถือเป็นส่วนสำคัญในกลยุทธ์การลงทุนระยะยาวหลายรูปแบบ เช่น พอร์ตการลงทุน “All Weather Portfolio” ของเรย์ ดาลิโอ ที่เน้นการกระจายความเสี่ยงและความยืดหยุ่นมากกว่าการเก็งกำไรหรือไล่ตามเทรนด์

คู่มือนี้จะอธิบายบทบาทของหุ้นสาธารณูปโภคในพอร์ตโฟลิโอที่กระจายความเสี่ยง และสำรวจแนวคิดการลงทุนแบบป้องกันความเสี่ยง เขียนขึ้นสำหรับมือใหม่ แต่มีความลึกพอที่จะให้บริบททางประวัติศาสตร์ การวิเคราะห์เชิงปฏิบัติ และข้อมูลเชิงลึกอย่างมืออาชีพสำหรับผู้ที่สนใจทุกระดับ

ข้อสรุปสำคัญ

  • หุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคหมายถึงบริษัทที่ให้บริการจำเป็น เช่น ไฟฟ้า ก๊าซธรรมชาติ และน้ำ
  • หุ้นกลุ่มนี้มีชื่อเสียงในด้านเงินปันผลที่มั่นคง กำไรที่คาดการณ์ได้ และความผันผวนต่ำ
  • หุ้นสาธารณูปโภคมักถูกมองว่าเป็นการลงทุนแบบป้องกันความเสี่ยง โดยเฉพาะในช่วงเศรษฐกิจถดถอยหรือความผันผวนของตลาด
  • นักลงทุนชื่อดังอย่างเรย์ ดาลิโอเน้นย้ำถึงคุณค่าของหุ้นสาธารณูปโภคในพอร์ตการลงทุนที่หลากหลายและสมดุลความเสี่ยง
  • การเข้าใจความไวต่ออัตราดอกเบี้ยและบริบททางกฎระเบียบเป็นสิ่งสำคัญเมื่อวิเคราะห์บริษัทสาธารณูปโภค

หุ้นสาธารณูปโภคคืออะไร?

ลงทุนหุ้นสาธารณูปโภค
 

มือถือหลอดไฟสว่างกับกราฟหุ้นขึ้นบนพื้นหลังพระอาทิตย์ตก สื่อถึงศักยภาพและนวัตกรรมหุ้นสาธารณูปโภค

หุ้นสาธารณูปโภคคือหุ้นของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ซึ่งให้บริการโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น เช่น ผู้ให้บริการไฟฟ้า บริษัทจัดจำหน่ายก๊าซ และบริษัทจัดหาน้ำ
บริษัทเหล่านี้ดำเนินงานภายใต้กรอบกฎระเบียบที่กำหนดว่าพวกเขาสามารถคิดค่าบริการได้เท่าใดและผลตอบแทนที่ได้รับต้องไม่เกินขอบเขตที่กำหนด
บทบาทของหุ้นสาธารณูปโภคในตลาดมีความพิเศษ เพราะไม่ได้มุ่งหวังที่จะเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมหรือเติบโตอย่างก้าวกระโดด แต่เน้นความมั่นคงสม่ำเสมอ ซึ่งดึงดูดนักลงทุนที่ต้องการรายได้และการรักษาทุน มากกว่าการเก็งกำไร

วิธีการลงทุนในหุ้นสาธารณูปโภค

การลงทุนในหุ้นสาธารณูปโภคเน้นการสร้างผลลัพธ์ที่คาดการณ์ได้มากกว่าผลตอบแทนสูงสุด นี่คือขั้นตอนง่ายๆ ที่ควรพิจารณา:

  1. เลือกระหว่างหุ้นรายตัวกับกองทุน ETF – นักลงทุนสามารถเลือกซื้อหุ้นบริษัทเดียวหรือกองทุน ETF กลุ่มสาธารณูปโภคเพื่อกระจายความเสี่ยง
  2. ศึกษาสภาพแวดล้อมกฎระเบียบ – หุ้นสาธารณูปโภคอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ของแต่ละภูมิภาคที่มีผลต่อกำไร
  3. เข้าใจรูปแบบธุรกิจ – บางบริษัทผลิตพลังงาน บางบริษัทแจกจ่ายพลังงาน แต่ละแบบมีความเสี่ยงและโอกาสที่แตกต่างกัน
  4. ตรวจสอบระดับหนี้สิน – หุ้นสาธารณูปโภคมักมีหนี้สูงเพื่อขยายโครงสร้างพื้นฐาน ควรดูสุขภาพการเงินอย่างใกล้ชิด
  5. พิจารณานโยบายเงินปันผล – หุ้นกลุ่มนี้จ่ายเงินปันผลบ่อย แต่ต้องดูอัตราการจ่ายและประวัติด้วย
  6. ติดตามอัตราดอกเบี้ย – หุ้นสาธารณูปโภคแข่งขันกับพันธบัตร ทำให้ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงดอกเบี้ย
  7. ตรวจสอบแนวทาง ESG – เนื่องจากมีการส่งเสริมพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น ตัวชี้วัดความยั่งยืนจึงมีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ

หุ้นสาธารณูปโภค: ทางเลือกในช่วงเศรษฐกิจถดถอยและเงินเฟ้อ?

เมื่อความเชื่อมั่นในตลาดลดลง การเติบโตชะลอตัว และความผันผวนเพิ่มสูง หุ้นสาธารณูปโภคมักกลายเป็นที่พึ่งในช่วงวิกฤตทางการเงิน ด้วยกระแสเงินสดที่คาดเดาได้ การจ่ายเงินปันผลที่มั่นคง และบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวัน หุ้นกลุ่มนี้จึงถูกมองว่าเป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงในช่วงเศรษฐกิจถดถอยและภาวะเงินเฟ้อ แต่การลงทุนในหุ้นเหล่านี้ในช่วงตลาดขาขึ้นอาจไม่ได้ผลตอบแทนสูงเหมือนหุ้นกลุ่มอื่น

บทบาทของหุ้นสาธารณูปโภคในพอร์ตโฟลิโอ

หุ้นสาธารณูปโภคให้บริการที่ผู้คนขาดไม่ได้ เช่น ไฟฟ้า แก๊ส และน้ำ เพราะความต้องการใช้บริการเหล่านี้ค่อนข้างคงที่ แม้ในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว จึงทำให้รายได้ของบริษัทเหล่านี้มีความมั่นคง หุ้นกลุ่มนี้จึงถูกจัดเป็นหุ้นที่ไม่ขึ้นลงตามรอบเศรษฐกิจ หรือหุ้นป้องกันความเสี่ยง จึงเป็นส่วนสำคัญในการกระจายความเสี่ยงของพอร์ต โดยเฉพาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลดความเสี่ยง

ในช่วงเศรษฐกิจถดถอย ธุรกิจในกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย เช่น ร้านค้าปลีก หรือการท่องเที่ยว มักมีรายได้ลดลงมาก แต่หุ้นสาธารณูปโภคมักยังคงเก็บเงินจากลูกค้าได้ต่อเนื่อง ช่วยรักษากำไรต่อหุ้นและการจ่ายเงินปันผล ทำให้หุ้นกลุ่มนี้เหมาะกับนักลงทุนที่เน้นรายได้และเตรียมรับมือกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ

นอกจากนี้ในช่วงเงินเฟ้อสูง หุ้นสาธารณูปโภคมักได้รับประโยชน์จากกฎเกณฑ์ที่อนุญาตให้ปรับราคาหรือส่งต่อค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นไปยังผู้บริโภคได้ แม้หุ้นกลุ่มนี้อาจไม่เติบโตแรงเหมือนหุ้นกลุ่มอื่น ๆ แต่ช่วยรักษากำลังซื้อด้วยรายได้ปันผลที่มั่นคงได้อย่างดี

ข้อจำกัดของหุ้นสาธารณูปโภคในตลาดขาขึ้น

แม้หุ้นสาธารณูปโภคจะโดดเด่นในช่วงเศรษฐกิจถดถอยและเงินเฟ้อ แต่โอกาสเติบโตของหุ้นกลุ่มนี้มีขีดจำกัด โดยเฉพาะเมื่อเศรษฐกิจแข็งแกร่งและตลาดบูม ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น?

  1. ข้อจำกัดจากการกำกับดูแล: บริษัทสาธารณูปโภคต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่เข้มงวด รัฐกำหนดกำไรสูงสุดที่บริษัทจะได้รับ ทำให้โอกาสทำกำไรมีขอบเขตจำกัด
  2. ต้นทุนลงทุนสูง: ธุรกิจนี้ต้องใช้เงินลงทุนมหาศาล เช่น การขยายโครงข่ายหรือสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ซึ่งส่วนใหญ่ต้องกู้ยืมมา ทำให้ภาระหนี้สูงและจำกัดโอกาสขยายกิจการ
  3. ผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ย: เมื่อดอกเบี้ยต่ำ หุ้นสาธารณูปโภคจ่ายเงินปันผลน่าสนใจ แต่เมื่อต้นทุนเงินกู้เพิ่มขึ้น นักลงทุนมักเปลี่ยนไปลงทุนในตราสารหนี้แทน ส่งผลให้ราคาหุ้นลดลงในช่วงดอกเบี้ยขึ้น
  4. ผลการดำเนินงานต่ำในช่วงตลาดขาขึ้น: ในช่วงเศรษฐกิจเติบโต หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี อุตสาหกรรม หรือสินค้าฟุ่มเฟือย มักโตเร็วและเป็นที่นิยมมากกว่า หุ้นสาธารณูปโภคจึงมักตามหลังในแง่ผลตอบแทน

หุ้นสาธารณูปโภคช่วยลดความเสี่ยงและปกป้องพอร์ตจากความผันผวนในช่วงเศรษฐกิจถดถอยและเงินเฟ้อ แต่ไม่ได้เน้นการเติบโตสูงในตลาดขาขึ้น เหมาะสำหรับนักลงทุนระยะยาวที่ต้องการ “เบรกความเสี่ยง” มากกว่าการเร่งความเร็วในตลาดแข็งแกร่ง พวกเขาเปรียบเสมือนรถขับช้าแต่มั่นคง ที่พาคุณผ่านพายุได้อย่างปลอดภัยโดยไม่เสียการควบคุม

สาธารณูปโภคเทียบกับ S&P 500: ผลการดำเนินงานในช่วงเศรษฐกิจถดถอยและช่วงขยายตัว

สาธารณูปโภคเทียบกับ S&P 500
 

แผนภูมิแท่งเปรียบเทียบผลการดำเนินงานของดัชนี S&P 500 และกลุ่มหุ้นสาธารณูปโภคในช่วงเหตุการณ์เศรษฐกิจสำคัญ เช่น วิกฤตเศรษฐกิจปี 2001 วิกฤตการเงินปี 2008 การตกต่ำของตลาดจากโควิด-19 ตลาดกระทิงหลังปี 2009 และการฟื้นตัวหลังโควิด (ที่มา: XTB)

ข้อดีและข้อเสียในการลงทุนในสาธารณูปโภค

ข้อดี ข้อเสียของการลงทุนหุ้นสาธารณูโภค
 

นักชุดธุรกิจพูดคุยกลยุทธ์การเงินในสำนักงานทันสมัย สื่อถึงการวางแผนลงทุนและคำปรึกษาการจัดการพอร์ตหุ้นสาธารณูปโภค

ข้อดี:

  • รายได้มั่นคง: รายได้สม่ำเสมอ เพราะมีความต้องการจากผู้บริโภคที่คาดการณ์ได้
  • มีการจ่ายเงินปันผล: หุ้นสาธารณูปโภคจ่ายเงินปันผลเป็นประจำและบางครั้งเงินปันผลเพิ่มขึ้น
  • ความผันผวนต่ำ: ราคาหุ้นมีความผันผวนต่ำกว่ากลุ่มหุ้นเติบโต
  • ทนทานต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอย: บริการสาธารณูปโภคยังจำเป็นแม้ในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ

ข้อเสีย:

  • ความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ย: อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นทำให้ผลตอบแทนหุ้นสาธารณูปโภคลดน่าสนใจลง
  • การเติบโตช้า: การควบคุมโดยกฎระเบียบทำให้การเติบโตของรายได้จำกัด
  • ต้นทุนลงทุนสูง: โครงสร้างพื้นฐานต้องการการลงทุนซ้ำอย่างต่อเนื่อง
  • อ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงนโยบาย: การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองหรือสิ่งแวดล้อมมีผลกระทบต่อรูปแบบธุรกิจ

7 เคล็ดลับในการลงทุนภาคสาธารณูปโภค

  1. เลือกหุ้นคุณภาพ – ให้ความสำคัญกับบริษัทที่มีรายได้สม่ำเสมอและมีนโยบายการก่อหนี้อย่างระมัดระวัง
  2. เปรียบเทียบประวัติเงินปันผล – มองหาความมั่นคง ไม่ใช่แค่ผลตอบแทนสูง
  3. อย่ามองข้ามกฎระเบียบ – ทำความเข้าใจว่าราคาและผลตอบแทนถูกควบคุมโดยหน่วยงานรัฐอย่างไร
  4. จับตาแนวโน้มอัตราดอกเบี้ย – ดอกเบี้ยสูงอาจกดดันราคาหุ้นสาธารณูปโภค
  5. กระจายการลงทุน – หุ้นกลุ่มนี้ให้ความมั่นคง แต่ไม่สามารถแทนสินทรัพย์เติบโตได้ทั้งหมด
  6. ติดตามการเปลี่ยนผ่านด้านความยั่งยืน – พลังงานสะอาดและเป้าหมายคาร์บอนอาจส่งผลต่อรายได้ในอนาคต
  7. มีแผนลงทุนระยะยาว – หุ้นสาธารณูปโภคตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นที่มีความอดทนมากกว่าการเก็งกำไรระยะสั้น

วิธีการประเมินหุ้นสาธารณูปโภค

ประเมินหุ้นสาธารณูโภค
 

ผู้หญิงยิ้มปรับเทอร์โมสแตทอัจฉริยะที่บ้าน สื่อถึงประสิทธิภาพพลังงาน เทคโนโลยีสาธารณูปโภคร่วมสมัย และการมีส่วนร่วมของผู้บริโภค

ไม่ใช่ทุกบริษัทสาธารณูปโภคจะมีคุณภาพเท่ากัน บางแห่งมีรายได้ที่มั่นคงและฐานะทางการเงินแข็งแกร่ง ขณะที่บางแห่งอาจเผชิญแรงกดดันจากหนี้สินหรือข้อจำกัดด้านกฎระเบียบ เพื่อเลือกลงทุนได้อย่างชาญฉลาด นักลงทุนควรเข้าใจตัวชี้วัดทางการเงินและการดำเนินงานที่สะท้อนถึงคุณภาพในระยะยาว

ตัวชี้วัดหลักในการประเมินหุ้นสาธารณูปโภคมีดังนี้:

  • อัตราการจ่ายเงินปันผล (Dividend Payout Ratio)

อัตราการจ่ายปันผลที่ดีควรอยู่ระหว่าง 60-80% ของกำไรสุทธิ หากสูงเกิน 90% ต่อเนื่อง อาจสะท้อนความกดดันด้านกระแสเงินสดในอนาคต

  • รายได้ที่ถูกควบคุมกับไม่ถูกควบคุม

รายได้จากกิจการที่อยู่ภายใต้การควบคุม (regulated) มักมีความมั่นคง แต่อาจจำกัดโอกาสเติบโต ในขณะที่รายได้จากธุรกิจที่ไม่ถูกควบคุม (unregulated) มีความเสี่ยงสูงกว่า แต่ก็มีศักยภาพในการเติบโตมากขึ้น

  • อัตราหนี้สินต่อทุน (Debt-to-Equity Ratio)

เนื่องจากธุรกิจนี้ใช้เงินลงทุนสูง ควรมองหาบริษัทที่มีระดับหนี้เหมาะสม (D/E ต่ำกว่า 1.5) หากสูงกว่านี้ควรมีการสร้างกระแสเงินสดสม่ำเสมอเพื่อรองรับ

  • ผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE)

ROE ที่อยู่ระหว่าง 8-12% ถือว่าเหมาะสมสำหรับธุรกิจสาธารณูปโภค หากต่ำกว่านี้อาจบ่งชี้ถึงประสิทธิภาพการดำเนินงานที่ต่ำหรือข้อจำกัดจากหน่วยงานกำกับดูแล

  • เสถียรภาพของกำไร (Earnings Stability)

ดูข้อมูลย้อนหลังเพื่อประเมินว่า EPS (กำไรต่อหุ้น) ทนทานต่อภาวะถดถอยหรือความผันผวนของราคาพลังงานได้ดีเพียงใด

  • แผนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน

บริษัทที่ลงทุนในโครงข่ายไฟฟ้าหรือพลังงานหมุนเวียนอาจมีต้นทุนระยะสั้นเพิ่มขึ้น แต่ช่วยให้บริษัทเติบโตในระยะยาวและสอดคล้องกับแนวโน้ม ESG และนโยบายรัฐ

การพิจารณาตัวชี้วัดเหล่านี้ร่วมกันจะช่วยให้นักลงทุนแยกแยะหุ้นที่มั่นคงจากบริษัทที่อาจกำลังเผชิญความท้าทายเชิงโครงสร้างได้แม่นยำขึ้น

ตัวอย่างหุ้นสาธารณูปโภค

ตัวอย่างหุ้นสาธารณูโภค
 

หัวเตาแก๊สในครัวเปล่งเปลวไฟสีน้ำเงินยามพระอาทิตย์ตก สื่อถึงการใช้พลังงานในครัวเรือนและบทบาทของก๊าซธรรมชาติในบริการสาธารณูปโภคและการลงทุน

 

เมื่อต้องการลงทุนในกลุ่มสาธารณูปโภค การทำความเข้าใจกับบริษัทที่มีความมั่นคง การสร้างรายได้ และบทบาทระยะยาวเป็นสิ่งสำคัญ ด้านล่างนี้คือรายชื่อหุ้นสาธารณูปโภค 10 แห่งจากสหรัฐฯ และ 10 แห่งจากยุโรป ซึ่งสะท้อนถึงรูปแบบธุรกิจที่หลากหลาย การดำเนินงานในภูมิภาคต่างๆ และกลยุทธ์ที่แตกต่างกันในอุตสาหกรรมนี้

ในขณะที่หุ้นสาธารณูปโภคของสหรัฐฯ มีชื่อเสียงในเรื่องโครงสร้างกำกับดูแลที่ชัดเจนและการจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ หุ้นของยุโรปกลับมีความหลากหลายมากกว่า ทั้งในรูปแบบธุรกิจดั้งเดิมและบริษัทนวัตกรรมที่กำลังเป็นผู้นำด้านพลังงานสะอาด บริษัทหลายแห่งยังมีบทบาทสำคัญในนโยบายพลังงานและสิ่งแวดล้อมของประเทศตนเอง

10 หุ้นสาธารณูปโภคของสหรัฐฯ ที่ควรรู้จัก

  • NextEra Energy (NEE)

หนึ่งในบริษัทไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ และผู้นำระดับโลกด้านพลังงานหมุนเวียน มีสำนักงานใหญ่ในฟลอริดา ดำเนินธุรกิจทั้งในระบบที่ถูกควบคุมและโครงการพลังงานสะอาดขนาดใหญ่ผ่านบริษัทลูก NextEra Energy Resources

  • Duke Energy (DUK)

ตั้งอยู่ที่รัฐนอร์ทแคโรไลนา ให้บริการไฟฟ้ากว่า 8 ล้านรายในภาคตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐฯ มีประวัติการจ่ายปันผลมั่นคง และลงทุนในระบบไฟฟ้าอัจฉริยะและพลังงานสะอาดอย่างต่อเนื่อง

  • Dominion Energy (D)

ให้บริการไฟฟ้าและก๊าซในหลายรัฐ มีการปรับตัวเข้าสู่พลังงานสะอาดและพลังงานต่ำคาร์บอน ขณะเดียวกันก็ยังรักษาโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งในฝั่งตะวันออกของสหรัฐฯ

  • American Water Works (AWK)

บริษัทจัดหาน้ำประปาสาธารณะที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ มุ่งเน้นให้บริการน้ำและบำบัดน้ำเสียในกว่า 40 รัฐ เป็นตัวเลือกการลงทุนที่มีความมั่นคงสูงในกลุ่มทรัพยากรจำเป็น

  • Southern Company (SO)

จ่ายไฟฟ้าและก๊าซในภาคตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐฯ มีประวัติการจ่ายปันผลที่เชื่อถือได้ และกำลังขยายธุรกิจไปสู่พลังงานนิวเคลียร์และพลังงานหมุนเวียน

  • Xcel Energy (XEL)

ให้บริการในภาคตะวันตกตอนกลางของสหรัฐฯ มีแผนกลายเป็นบริษัทที่ปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ภายในปี 2050 เป็นที่สนใจของนักลงทุนสาย ESG

  • Consolidated Edison (ED)

หรือ "ConEd" เป็นหนึ่งในบริษัทไฟฟ้าที่เก่าแก่ที่สุดของสหรัฐฯ ให้บริการในนิวยอร์ก มีแนวทางดำเนินงานแบบอนุรักษ์นิยมและสัมพันธ์ใกล้ชิดกับหน่วยงานกำกับดูแล

  • Public Service Enterprise Group (PEG)

ให้บริการไฟฟ้าและก๊าซในรัฐนิวเจอร์ซีย์และเพนซิลเวเนีย พร้อมลงทุนในโครงการพลังงานลมและพลังงานหมุนเวียน เป็นตัวอย่างของบริษัทที่ผสมผสานระหว่างความมั่นคงและนวัตกรรม

  • Sempra (SRE)

ดำเนินงานในแคลิฟอร์เนีย เท็กซัส และเม็กซิโก มีธุรกิจที่หลากหลายรวมถึงการส่งออก LNG เป็นหนึ่งในบริษัทที่มีมุมมองเชิงนานาชาติ

  • National Grid plc (NGG)

บริษัทจากสหราชอาณาจักรที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ให้บริการขนส่งไฟฟ้าและก๊าซทั้งในสหราชอาณาจักรและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐฯ มีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด

10 หุ้นสาธารณูปโภคยุโรปที่ควรรู้จัก

  • Enel S.p.A. (ENEL.MI – อิตาลี)

หนึ่งในบริษัทพลังงานที่ใหญ่ที่สุดในโลก ดำเนินงานในกว่า 30 ประเทศ โดยมี Enel Green Power เป็นผู้นำด้านพลังงานหมุนเวียน

  • Électricité de France (EDF.PA – ฝรั่งเศส)

ผู้ผลิตไฟฟ้ารายใหญ่ที่สุดของฝรั่งเศส และผู้เล่นสำคัญด้านพลังงานนิวเคลียร์ เป็นของรัฐฝรั่งเศสและลงทุนอย่างมากในพลังงานสะอาดและโครงข่ายอัจฉริยะ

  • RWE AG (RWE.DE – เยอรมนี)

อยู่ระหว่างการเปลี่ยนผ่านจากถ่านหินและนิวเคลียร์สู่พลังงานลม แสงอาทิตย์ และไฮโดรเจน มีแผนขยายพลังงานสะอาดอย่างรวดเร็วทั้งในยุโรปและอเมริกาเหนือ

  • Iberdrola S.A. (IBE.MC – สเปน)

ผู้นำระดับโลกด้านพลังงานลมและโครงสร้างพื้นฐาน ESG ให้บริการในสเปน สหราชอาณาจักร สหรัฐฯ และละตินอเมริกา

  • Fortum Oyj (FORTUM.HE – ฟินแลนด์)

บริษัทพลังงานชั้นนำในภูมิภาคนอร์ดิก ดำเนินธุรกิจด้านการผลิตไฟฟ้าและระบบทำความร้อน กำลังเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดหลังจากปรับโครงสร้างพอร์ต

  • Engie S.A. (ENGI.PA – ฝรั่งเศส)

เดิมชื่อ GDF Suez มีบทบาทในไฟฟ้า ก๊าซ และบริการพลังงานทั่วโลก กำลังลงทุนในไฮโดรเจนสีเขียวและการผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน

  • E.ON SE (EOAN.DE – เยอรมนี)

หนึ่งในผู้ให้บริการโครงข่ายพลังงานที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป หลังจากแยกธุรกิจผลิตไฟฟ้าออกไป ปัจจุบันมุ่งเน้นการจัดจำหน่ายพลังงานและเทคโนโลยีโครงข่ายอัจฉริยะ

  • Centrica plc (CNA.L – สหราชอาณาจักร)

บริษัทแม่ของ British Gas มุ่งเน้นด้านการจัดจำหน่ายพลังงานและโซลูชันภายในบ้าน แม้ต้องเผชิญแรงกดดันด้านกฎระเบียบและราคา แต่ยังเป็นแบรนด์ที่คนอังกฤษรู้จักดี

  • VERBUND AG (VER.VI – ออสเตรีย)

บริษัทพลังงานไฟฟ้าอันดับหนึ่งของออสเตรีย ผลิตไฟฟ้าเกือบทั้งหมดจากพลังน้ำ ถือเป็นผู้เล่นหลักด้านพลังงานสะอาดของยุโรป

  • Naturgy Energy Group S.A. (NTGY.MC – สเปน)

ให้บริการไฟฟ้าและก๊าซในสเปนและละตินอเมริกา มุ่งปรับพอร์ตให้ยั่งยืนในระยะยาว พร้อมยังรักษารายได้จากธุรกิจที่อยู่ภายใต้กำกับดูแล

ประวัติย่อและเหตุการณ์สำคัญของภาคสาธารณูปโภค

หุ้นสาธารณูโภค
 
  • ปลายทศวรรษ 1800: การให้บริการไฟฟ้าเริ่มมีบทบาทสำคัญต่อการเติบโตของเมืองใหญ่ทั่วสหรัฐฯ
  • ปี 1935: กฎหมาย Public Utility Holding Company Act ถูกบังคับใช้เพื่อเพิ่มการกำกับดูแลบริษัทสาธารณูปโภค
  • ทศวรรษ 1960-70: พลังงานนิวเคลียร์เริ่มเฟื่องฟู ก่อนเกิดวิกฤตพลังงานที่จุดชนวนข้อถกเถียงเรื่องความเสถียรและต้นทุน
  • ทศวรรษ 1990: หลายรัฐในสหรัฐฯ เริ่มแยกธุรกิจผลิตไฟฟ้าออกจากการจำหน่าย เพื่อนำระบบเสรีเข้ามาใช้
  • ทศวรรษ 2000: การเกิดขึ้นของ ETF ช่วยให้นักลงทุนรายย่อยสามารถเข้าถึงหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคได้ง่ายขึ้น
  • ทศวรรษ 2010: ภาคธุรกิจเริ่มเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดและการใช้โครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ
  • ทศวรรษ 2020: การลงทุนตามแนวทาง ESG และกฎหมายโครงสร้างพื้นฐานช่วยผลักดันการลงทุนระยะยาวในพลังงานหมุนเวียนและการปรับปรุงโครงข่ายไฟฟ้า

บทสรุป

หุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคอาจไม่ใช่ดาวเด่นบนหน้าสื่อการเงิน แต่นี่คือกำลังเงียบที่อยู่เบื้องหลังกลยุทธ์การลงทุนที่มั่นคงและยั่งยืนที่สุดในประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นส่วนสำคัญของพอร์ต “All Weather” ของ Ray Dalio หรือที่หลบภัยของนักลงทุนในช่วงเวลาตลาดผันผวน หุ้นกลุ่มนี้เปรียบเสมือนเครื่องปั่นไฟสำรองที่พร้อมทำงานอยู่เสมอเมื่อระบบอื่นเริ่มล้มเหลว

ในขณะที่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและสินค้าฟุ่มเฟือยมอบโอกาสเติบโตสูงแต่ก็มาพร้อมความเสี่ยงและความผันผวน หุ้นสาธารณูปโภคกลับให้ความมั่นคงและความต่อเนื่อง เพราะไม่ว่าจะเป็นช่วงเศรษฐกิจเติบโตหรือถดถอย บริษัทเหล่านี้ก็ยังคงส่งมอบไฟฟ้า แก๊ส และน้ำให้ผู้บริโภคอย่างไม่หยุดหย่อน ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ หุ้นกลุ่มนี้มักแสดงผลตอบแทนที่แข็งแกร่งกว่าตลาดโดยรวม เนื่องจากรายได้ที่มั่นคงและความจำเป็นของบริการเหล่านี้ นอกจากนี้ในช่วงเงินเฟ้อที่สูง บริษัทส่วนใหญ่ยังสามารถปรับราคาสินค้าและบริการได้ ส่งผลให้ช่วยรักษาอำนาจซื้อของนักลงทุนในระยะยาวได้ดี

แต่ความมั่นคงเหล่านี้แลกมาด้วยข้อจำกัดในการเติบโต หุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคอยู่ภายใต้การควบคุมอย่างเข้มงวด มีหนี้สินสูง และไวต่อการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ย จึงไม่ใช่กลุ่มที่จะทำกำไรโดดเด่นในช่วงตลาดขาขึ้น

สำหรับนักลงทุนที่มองหาความมั่นคงและความทนทานในระยะยาว หุ้นสาธารณูปโภคคือส่วนสำคัญที่ช่วยสร้างสมดุลให้กับพอร์ตการลงทุน ทำให้พร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์ในตลาดได้อย่างมั่นใจ

 

เอกสารฉบับนี้จัดทำขึ้นเพื่อให้ข้อมูลเบื้องต้นและใช้สำหรับการศึกษาเท่านั้น ความคิดเห็น การวิเคราะห์ ราคา หรือเนื้อหาอื่น ๆ ในเอกสารนี้ ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้คำแนะนำในการลงทุน หรือเพื่อให้ความเข้าใจด้านกฎหมายของประเทศ Belize

ผลประกอบการในอดีตไม่ได้เป็นการรับประกันถึงผลประกอบการในอนาคต การกระทำหรือการตัดสินใจใด ๆ ตามข้อมูลในเอกสารนี้ เป็นความเสี่ยงของผู้ดำเนินการเอง XTB ไม่มีส่วนรับผิดชอบต่อความสูญเสีย ความเสียหาย หรือผลกำไรหรือขาดทุนใด ๆ ที่อาจเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือทางอ้อมจากการใช้ข้อมูลในเอกสารนี้

ทุกการตัดสินใจลงทุนควรพิจารณาอย่างรอบคอบ และเป็นความรับผิดชอบของท่านเอง

คำถามที่พบบ่อย

หุ้นสาธารณูปโภคเป็นตัวแทนของบริษัทที่ให้บริการที่จำเป็น เช่น ไฟฟ้า แก๊ส และน้ำ บริษัทเหล่านี้ดำเนินงานภายใต้การควบคุมที่เข้มงวดและมักจะเสนอการลงทุนที่มั่นคงและสร้างรายได้

เพราะบริษัทเหล่านี้ให้บริการที่จำเป็นและขาดไม่ได้ ทำให้รายได้มีความมั่นคงแม้ในช่วงเศรษฐกิจถดถอย นักลงทุนจึงมักเลือกลงทุนในหุ้นสาธารณูปโภคในช่วงตลาดผันผวน เพราะความน่าเชื่อถือและความเสถียรของรายได้ที่พวกเขามอบให้

เมื่ออัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น ความน่าสนใจของเงินปันผลหุ้นสาธารณูปโภคอาจลดลง คุณสมบัติที่คล้ายกับพันธบัตรทำให้พวกเขาไวต่อการแข่งขันผลตอบแทนจากสินทรัพย์ที่มีรายได้คงที่

หลายบริษัทสาธารณูปโภคกำลังเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาด ปรับปรุงโครงข่ายไฟฟ้าให้ทันสมัย และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ตัวชี้วัด ESG จึงถูกนำมาใช้ประเมินประสิทธิภาพและความยั่งยืนของบริษัทเหล่านี้มากขึ้น เพื่อส่งเสริมการลงทุนที่รับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และการบริหารจัดการที่ดี

แม้ว่าการเติบโตของบริษัทสาธารณูปโภคจะถูกจำกัดด้วยกฎระเบียบ แต่บริษัทที่เน้นลงทุนในพลังงานทดแทนและขยายโครงสร้างพื้นฐาน มีโอกาสสร้างมูลค่าทุนเพิ่มขึ้นในระยะยาวควบคู่ไปกับรายได้ที่มั่นคงจากการดำเนินงานหลัก

เข้าสู่ตลาดพร้อมลูกค้าของ XTB Group กว่า 1 700 000 ราย

ผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เราให้บริการมีความเสี่ยง เศษหุ้น (Fractional Shares) เป็นผลิตภัณฑ์ที่ให้บริการจาก XTB แสดงถึงการเป็นเจ้าของหุ้นบางส่วนหรือ ETF เศษหุ้นไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ทางการเงินอิสระ สิทธิของผู้ถือหุ้นอาจถูกจำกัด
ความสูญเสียสามารถเกินกว่าเงินที่ฝาก