อ่านเพิ่มเติม

คำศัพท์การเทรด: คู่มือสำหรับนักลงทุนทุกระดับ

บทความที่เกี่ยวข้อง:
เวลาอ่าน: 3 นาที
ชายคนหนึ่งกำลังอ่านหนังสือ คำศัพท์การเทรดอย่าง สเปรด, มาร์จิ้นคอล, สต็อปลอส และเบรกเอาต์ ล้อมรอบตัวเขา

สับสนกับคำศัพท์การลงทุนอยู่หรือไม่? บทความนีจะช่วยคุณเข้าใจคำศัพท์สำคัญ ตั้งแต่ “pips” และ “leverage” ไปจนถึง “Fibonacci retracement” และ “การวิเคราะห์ทางเทคนิค” แบบเข้าใจง่าย เพื่อให้คุณวิเคราะห์ตลาดได้เหมือนมืออาชีพ

โลกของการเทรดอาจซับซ้อน การเข้าใจภาษาการเทรดถือเป็นก้าวสำคัญสู่การเป็นนักลงทุนที่มั่นใจและประสบความสำเร็จ การเข้าใจคำศัพท์สำคัญไม่เพียงช่วยให้คุณสามารถนำทางในตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังช่วยให้สื่อสารได้ชัดเจนและตัดสินใจอย่างรอบคอบ

ในคู่มือนี้ เราจะอธิบายคำศัพท์การเทรดที่สำคัญซึ่งนักลงทุนทุกคนควรรู้ ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่หัดลงทุนหรือกำลังพัฒนาความรู้เพิ่มเติม บทความนี้จะเป็นแหล่งข้อมูลที่ช่วยให้เข้าใจคำศัพท์ลึกลับและสร้างพื้นฐานที่มั่นคงสำหรับเส้นทางการลงทุนของคุณ

ไม่ว่าคุณจะต้องการเข้าสู่ตลาดการเงินอย่างมั่นใจ หรือเป็นนักลงทุนมือใหม่หรือมืออาชีพ การทำความเข้าใจกับคำศัพท์เหล่านี้จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ถูกต้องและพัฒนากลยุทธ์การเทรดที่มีประสิทธิภาพ มาลองเรียนรู้ไปด้วยกัน

ข้อมูลหลัก

  • เข้าใจคำศัพท์ เข้าใจตลาด การรู้และเข้าใจคำศัพท์การเทรดที่สำคัญช่วยให้นักลงทุนสามารถนำทางในตลาดได้อย่างมั่นใจ วิเคราะห์กลยุทธ์ได้อย่างมีเหตุผล และตัดสินใจซื้อขายได้อย่างรอบคอบ
  • เพิ่มความมั่นใจและการสื่อสารที่ชัดเจน การใช้คำศัพท์ที่ถูกต้องช่วยให้คุณสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพกับโบรกเกอร์ เพื่อนนักลงทุน และแพลตฟอร์มการเทรด ลดความเข้าใจผิด และเพิ่มความมั่นใจในทุกการสนทนาเกี่ยวกับตลาด
  • ครอบคลุมแนวคิดหลักของการเทรด ตั้งแต่คำพื้นฐานอย่าง “Bid-Ask Spread” ไปจนถึงเครื่องมือบริหารความเสี่ยงอย่าง “Stop-Loss Orders” การเข้าใจคำเหล่านี้จะสร้างพื้นฐานที่มั่นคงสำหรับการเทรดอย่างมืออาชีพ
  • ใช้ได้ในทุกตลาดการลงทุน คำศัพท์การเทรดเป็นภาษาสากลที่สามารถประยุกต์ใช้ได้กับทุกตลาด ไม่ว่าจะเป็นฟอเร็กซ์ หุ้น สินค้าโภคภัณฑ์ หรือตลาดคริปโทเคอร์เรนซี
  • เสริมศักยภาพนักลงทุนทุกระดับ ไม่ว่าคุณจะเป็นนักลงทุนมือใหม่หรือเทรดเดอร์มืออาชีพ การพัฒนาความเข้าใจในคำศัพท์การเทรดจะช่วยยกระดับความรู้ด้านตลาด และส่งผลเชิงบวกต่อประสิทธิภาพในการลงทุนของคุณ

การเทรด (trading) คืออะไร?

กลุ่มเทรดเดอร์กำลังดูกราฟหุ้นและข้อมูลการเงินหลายหน้าจอในห้องซื้อขายที่คึกคัก

 

 

source: Adobe Stock

การเทรดหมายถึงกระบวนการซื้อและขายสินทรัพย์ทางการเงินโดยนักลงทุนในตลาดการเงินต่าง ๆ รวมถึงการเทรดผ่านระบบออนไลน์ สินทรัพย์เหล่านี้ประกอบด้วย หลักทรัพย์ เช่น หุ้น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทุนของบริษัท, ตราสารหนี้, สกุลเงิน, และ สินค้าโภคภัณฑ์ นอกจากนี้ ยังมีสินทรัพย์บางประเภทที่ถูกซื้อขายในรูปแบบของ ตราสารอนุพันธ์ (Derivatives) เช่น

  • สัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Futures Contracts)
  • ออปชัน (Options)
  • สัญญาซื้อขายส่วนต่าง (CFDs - Contracts for Difference)

รวมถึง ผลิตภัณฑ์โครงสร้าง (Structured Products) ที่ออกแบบขึ้นเพื่อตอบโจทย์กลยุทธ์การลงทุนเฉพาะทาง

การเทรดยังเป็นหนึ่งในหลักสูตรสำคัญของโรงเรียนธุรกิจ ซึ่งมุ่งเน้นการเรียนรู้เกี่ยวกับ การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) การบริหารความเสี่ยง (Risk Management) การดำเนินงานในตลาด (Market Operations) และการป้องกันอาชญากรรมทางการเงิน (Financial Crime Prevention)

ในทางปฏิบัติ การเทรดสามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภทและสไตล์ ตั้งแต่

  • การเทรดด้วยเงินทุนของบริษัท (Proprietary Trading),
  • การเทรดระหว่างวัน (Day Trading),
  • ไปจนถึง การลงทุนระยะยาว (Position Trading)

ปัจจุบัน นักลงทุนสามารถเข้าถึงตลาดการเงินได้สะดวกยิ่งขึ้นผ่าน แพลตฟอร์มการเทรดออนไลน์ เพื่อเก็งกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ทางการเงินในรูปแบบต่าง ๆ

คำศัพท์พื้นฐานในการเทรด

ชายคนหนึ่งกำลังอ่านหนังสือใกล้หน้าต่าง สื่อถึงการเรียนรู้ด้านการเงินและการลงทุน

Source: Adobe Stock

การเข้าใจคำศัพท์การเทรดเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อการนำทางตลาดการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ ด้านล่างนี้คือ 20 คำศัพท์สำคัญที่สุดที่เทรดเดอร์ทุกคนควรรู้ พร้อมคำอธิบายสั้นๆ เพื่อการเรียนรู้ที่รวดเร็ว

1. Bid และ Ask

  • ราคาเสนอซื้อ (Bid) คือ ราคาสูงสุดที่ผู้ซื้อยินดีจ่ายสำหรับสินทรัพย์
  • ราคาเสนอขาย (Ask) คือ ราคาต่ำสุดที่ผู้ขายยินดีรับ

2. Spread

ส่วนต่างระหว่างราคาเสนอซื้อและราคาเสนอขาย (Ask) แสดงถึงต้นทุนการเทรด โดยสเปรดมักจะแคบกว่าในตลาดที่มีสภาพคล่องสูง

3. Leverage (เลเวอเรจ)

เครื่องมือที่ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถควบคุมสถานะที่มีขนาดใหญ่กว่าด้วยเงินทุนที่น้อยกว่า เลเวอเรจสามารถเพิ่มทั้งผลกำไรและขาดทุนที่อาจเกิดขึ้น

4. Margin (มาร์จิ้น)

เงินหลักประกันที่จำเป็นสำหรับการเปิดสถานะที่ใช้เลเวอเรจ ช่วยให้เทรดเดอร์มีเงินทุนเพียงพอเพื่อรองรับการขาดทุนที่อาจเกิดขึ้น

5. Long Position (สถานะ Long)

การซื้อสินทรัพย์โดยคาดว่าราคาจะปรับตัวสูงขึ้น เป็นกลยุทธ์การเทรดที่นิยมในตลาดขาขึ้น

6. Short Position (สถานะ Short)

การขายสินทรัพย์ที่ยังไม่ได้เป็นเจ้าของ โดยคาดว่าจะซื้อคืนในราคาที่ต่ำกว่า เป็นกลยุทธ์ที่มักใช้ในตลาดขาลง

7. คำสั่ง Stop-Loss

  • คำสั่งปิดการเทรดโดยอัตโนมัติเมื่อราคาถึงระดับที่กำหนดไว้ล่วงหน้า
  • ใช้เพื่อจำกัดการขาดทุนและบริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ

8. คำสั่ง Take-Profit

  • คำสั่งล็อกกำไรโดยปิดการเทรดเมื่อราคาถึงระดับเป้าหมาย
  • ช่วยให้มั่นใจว่าผลกำไรได้รับการบันทึกในระดับราคาที่ต้องการ

9. Pips (พิป)

  • หน่วยการเคลื่อนไหวของราคาที่เล็กที่สุดในการเทรด Forex ใช้วัดการเปลี่ยนแปลงของราคาและผลกำไร/ขาดทุนจากการเทรด
  • การเคลื่อนไหวของราคาที่เล็กที่สุดในตลาดฟอเร็กซ์ โดยทั่วไปเท่ากับ 0.0001 สำหรับคู่สกุลเงินหลัก

10. ขนาดล็อต (Lot Size)

  • ปริมาณของสินทรัพย์ที่ใช้ในการเทรดแต่ละครั้ง
  • ในตลาด Forex ล็อตมาตรฐานคือ 100,000 หน่วยของสกุลเงิน

11. ตลาดกระทิง (Bull Market)

สภาวะตลาดที่ราคาสินทรัพย์ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง พร้อมความเชื่อมั่นที่แข็งแกร่งจากนักลงทุน

12. ตลาดหมี (Bear Market)

สภาวะตลาดที่ราคาสินทรัพย์ลดลงอย่างต่อเนื่อง มักเกิดขึ้นพร้อมภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวและมุมมองเชิงลบ

13. แนวรับและแนวต้าน (Support & Resistance)

  • แนวรับคือระดับราคาที่สินทรัพย์มีแนวโน้มจะหยุดลดลง
  • แนวต้านคือระดับราคาที่สินทรัพย์มีแนวโน้มจะหยุดปรับขึ้น

14. ความผันผวน

  • วัดความแปรปรวนของราคาสินทรัพย์
  • ความผันผวนสูงหมายถึงการเคลื่อนไหวของราคาที่รวดเร็วและรุนแรง ขณะที่ความผันผวนต่ำบ่งบอกถึงความเสถียรของราคา

15. สภาพคล่อง (Liquidity)

  • ระดับความง่ายในการซื้อหรือขายสินทรัพย์โดยไม่ส่งผลต่อราคา
  • ตลาดที่มีสภาพคล่องสูง เช่น ฟอเร็กซ์ มักมีสเปรดแคบและการดำเนินคำสั่งรวดเร็ว

16. อัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทน (Risk/Reward Ratio)

  • อัตราส่วนที่เปรียบเทียบระหว่างความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับผลตอบแทนที่คาดหวัง
  • อัตราส่วนที่ดีมักอยู่ที่ 1:2 หรือมากกว่า

17. การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis)

การศึกษากราฟราคา รูปแบบ และตัวชี้วัดทางเทคนิคเพื่อคาดการณ์การเคลื่อนไหวของตลาดในอนาคต

18. การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Analysis)

  • การประเมินมูลค่าที่แท้จริงของสินทรัพย์จากข้อมูลเศรษฐกิจ งบการเงิน และข่าวสารต่าง ๆ
  • มักใช้ในกลยุทธ์การลงทุนระยะยาว

19. โบรกเกอร์ (Broker)

  • ตัวกลางที่อำนวยความสะดวกในการเทรดระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย
  • ให้บริการแพลตฟอร์มและเครื่องมือสำหรับการเทรด

20. การกระจายความเสี่ยง (Diversification)

การลงทุนในสินทรัพย์หลายประเภทเพื่อลดความเสี่ยงรวมของพอร์ตการลงทุน

21. มาร์จิ้น (Margin Requirement)

จำนวนเงินที่โบรกเกอร์ต้องการเพื่อเปิดและรักษาสถานะที่ใช้เลเวอเรจ

22. การเรียกมาร์จิ้น (Margin Call)

การแจ้งจากโบรกเกอร์ให้เพิ่มเงินทุนเข้าบัญชี เมื่อมูลค่าสุทธิของบัญชีลดลงต่ำกว่าระดับที่กำหนด

23. ความเสี่ยงในการเทรด (Trading Risk)

ความเสี่ยงจากการขาดทุนอันเกิดจากความผันผวนของตลาดหรือปัจจัยอื่น ๆ

24. การวิเคราะห์ความเสี่ยงต่อผลตอบแทน (Risk/Reward Analysis)

การประเมินผลกำไรที่คาดหวังเทียบกับความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้น เพื่อช่วยตัดสินใจในการเทรดอย่างมีเหตุผล

25. ล็อตเทรด (Trading Lot)

หน่วยมาตรฐานของสินทรัพย์ที่ใช้ในการเทรด เช่น 100,000 หน่วยในตลาด Forex สำหรับล็อตมาตรฐาน

คำศัพท์สำคัญในการเทรด (ต่อไป)

1. CFD (สัญญาซื้อขายส่วนต่าง)

ตราสารอนุพันธ์ที่มีความเสี่ยงและใช้เลเวอเรจ ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถเก็งกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาได้โดยไม่จำเป็นต้องถือครองสินทรัพย์อ้างอิงจริง

2. Rollover (โรลโอเวอร์)

กระบวนการขยายสถานะการเทรดไปยังวันทำการถัดไป ซึ่งมักจะมีการคิดค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม (Rollover Fee)

3. ปริมาณการเทรด (Trading Volume)

จำนวนหุ้น สัญญา หรือหน่วยทั้งหมดที่ถูกซื้อขายในตลาดภายในช่วงเวลาที่กำหนด ปริมาณที่สูงบ่งชี้ถึงกิจกรรมทางตลาดที่เข้มข้น

4. ช่องว่างขาขึ้น / ขาลง (Price Gap)

ช่องว่างของราคาที่ปรากฏบนกราฟ ซึ่งอาจเป็นช่องว่างราคาขึ้น (ขาขึ้น) หรือช่องว่างราคาลง (ขาลง) แสดงถึงโมเมนตัมที่แข็งแกร่งของตลาดในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง

5. แนวโน้มตลาด (Market Trends)

  • แนวโน้มระยะสั้น: กินเวลาตั้งแต่ไม่กี่วันถึงไม่กี่สัปดาห์
  • แนวโน้มระยะกลาง: กินเวลาตั้งแต่หลายสัปดาห์ถึงหลายเดือน
  • แนวโน้มระยะยาว: กินเวลานานหลายเดือนถึงหลายปี สะท้อนแนวโน้มพื้นฐานของตลาด

6. อัตราส่วนดอกเบี้ยระยะสั้น (Short Interest Ratio)

อัตราส่วนของจำนวนหุ้นที่ถูกขายชอร์ตเมื่อเทียบกับปริมาณการเทรดเฉลี่ยต่อวัน มักใช้เป็นตัวบ่งชี้แนวโน้มขาลงของตลาด

7. ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation)

การวัดความผันผวนของราคาทางสถิติที่แสดงให้เห็นว่าราคาเคลื่อนที่ออกจากค่าเฉลี่ยมากน้อยเพียงใด ยิ่งค่าเบี่ยงเบนสูง ความผันผวนก็ยิ่งมาก

8. ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average)

ตัวชี้วัดแนวโน้มที่คำนวณจากราคาย้อนหลังในช่วงเวลาที่กำหนด ใช้เพื่อระบุแนวโน้มหลักของตลาดและจุดกลับตัวที่อาจเกิดขึ้น

9. เส้น Fibonacci Retracements

เส้นแนวนอนที่ใช้ระบุระดับแนวรับหรือแนวต้านที่อาจเกิดขึ้น โดยอ้างอิงจากอัตราส่วนทางคณิตศาสตร์ของ Fibonacci เช่น 38.2%, 50%, และ 61.8%

10. การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis)

การศึกษารูปแบบราคาและตัวบ่งชี้ทางเทคนิคเพื่อคาดการณ์การเคลื่อนไหวของตลาดในอนาคต เทรดเดอร์มืออาชีพใช้กราฟและเครื่องมือ เช่น RSI, MACD, หรือเส้นค่าเฉลี่ย เพื่อระบุแนวโน้ม จุดเข้าออก และระดับแนวรับแนวต้านที่สำคัญ

11. คำสั่งซื้อขายตามราคาตลาด (Market Order)

คำสั่งให้ซื้อหรือขายสินทรัพย์ในราคาตลาดปัจจุบัน คำสั่งนี้จะถูกดำเนินการทันทีในราคาที่มีอยู่ขณะนั้น แม้ไม่สามารถควบคุมราคาที่แน่นอนได้ แต่รับประกันการดำเนินการของคำสั่ง

12. คำสั่งจำกัด (Limit Order)

คำสั่งให้ซื้อหรือขายสินทรัพย์ในราคาที่กำหนดหรือดีกว่า ให้การควบคุมราคาที่แน่นอนยิ่งขึ้น แต่ไม่รับประกันว่าจะถูกดำเนินการ หากราคาตลาดไม่ถึงระดับที่กำหนดไว้

13. การเทรดรายวัน (Day Trading)

กลยุทธ์การเทรดที่ดำเนินธุรกรรมภายในวันเดียว เทรดเดอร์จะซื้อและขายสินทรัพย์ในวันเดียวกันเพื่อเก็งกำไรจากความผันผวนระยะสั้น และปิดสถานะทั้งหมดก่อนสิ้นวันเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงข้ามคืน

14. สัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Futures Contract)

ข้อตกลงในการซื้อหรือขายสินทรัพย์อ้างอิงในราคาที่กำหนดไว้ล่วงหน้า ณ วันส่งมอบในอนาคต มักใช้เพื่อการป้องกันความเสี่ยง (Hedging) หรือเก็งกำไรจากความเคลื่อนไหวของราคา เช่น สินค้าโภคภัณฑ์ ดัชนีตลาดหุ้น หรือสกุลเงิน

อนุพันธ์ สินทรัพย์อ้างอิง และแนวคิดสำคัญอื่น ๆ

1. อนุพันธ์ (Derivatives)

ตราสารทางการเงินที่มีมูลค่าอ้างอิงจากสินทรัพย์พื้นฐาน เช่น หุ้น พันธบัตร หรือสินค้าโภคภัณฑ์
ตัวอย่างทั่วไป ได้แก่ ออปชัน (Options) และฟิวเจอร์ส (Futures) ที่ใช้เพื่อการป้องกันความเสี่ยงหรือเก็งกำไร

2. สินทรัพย์อ้างอิง (Underlying Asset)

สินทรัพย์ทางการเงินที่เป็นพื้นฐานของตราสารอนุพันธ์ เช่น ในน้ำมันล่วงหน้า “น้ำมัน” คือสินทรัพย์อ้างอิง

3. เลเวอเรจ (Leverage)

กลไกที่ช่วยให้เทรดเดอร์ควบคุมสถานะที่ใหญ่กว่าด้วยเงินทุนเพียงเล็กน้อย แม้ช่วยเพิ่มโอกาสทำกำไร แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงในการขาดทุนเช่นกัน

4. การป้องกันความเสี่ยง (Hedging)

กลยุทธ์ที่ใช้เพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนของราคา โดยการเปิดสถานะตรงข้ามกับสินทรัพย์ที่ถืออยู่ เช่น การซื้อออปชันขายเพื่อป้องกันการลดลงของราคาหุ้น

5. กำไร (Capital Gain)

ผลต่างที่เกิดจากการขายสินทรัพย์ในราคาที่สูงกว่าราคาซื้อ หรือจากการปิดสถานะขายชอร์ตในราคาที่ต่ำกว่าราคาขายเริ่มต้น

เครื่องมือทางการเงินและเทคนิค (Financial and Technical Tools)

1. ดัชนีตลาดหุ้น (Stock Index)

ตัวชี้วัดผลการดำเนินงานของกลุ่มหุ้นในตลาด ตัวอย่างเช่น S&P 500, Dow Jones, Nasdaq 100, FTSE 100, DAX และดัชนีฮั่งเส็ง

2. ตราสารทางการเงิน (Financial Instruments)

สัญญาที่แสดงถึงสินทรัพย์ทางการเงิน ซึ่งรวมถึง หุ้น พันธบัตร ตราสารอนุพันธ์ และสกุลเงิน

3. ระดับแนวรับและแนวต้าน (Support & Resistance Levels)

  • แนวรับ: ระดับราคาที่มักเกิดแรงซื้อเพิ่มขึ้น ช่วยป้องกันไม่ให้ราคาลดลงต่อ
  • แนวต้าน: ระดับราคาที่มีแรงขายมาก ทำให้ราคายากจะทะลุขึ้นไปได้

4. ออสซิลเลเตอร์และตัวบ่งชี้ทางเทคนิค (Oscillators & Indicators)

เครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของราคาและแนวโน้มในอนาคต เช่น

  • RSI (Relative Strength Index)
  • MACD (Moving Average Convergence Divergence)
  • Bollinger Bands

สรุป

การเข้าใจคำศัพท์การลงทุนเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับการลงทุนอย่างมั่นใจในตลาดการเงิน ตั้งแต่คำศัพท์พื้นฐานอย่าง “Bid และ Ask” ไปจนถึงแนวคิดขั้นสูงอย่าง “Leverage” และ “Risk/Reward Ratio” การเข้าใจคำเหล่านี้ช่วยให้นักลงทุนสามารถนำทางตลาดได้อย่างชำนาญ สื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ และตัดสินใจลงทุนอย่างรอบคอบ ซึ่งถือเป็นความเข้าใจลึกซึ้งในโลกการลงทุน

คู่มือนี้ให้คำอธิบายชัดเจนและกระชับเกี่ยวกับคำศัพท์สำคัญ ทำให้เหมาะสำหรับทั้งผู้เริ่มต้นและนักลงทุนที่มีประสบการณ์ การสร้างความเข้าใจในภาษาและคำศัพท์การลงทุนจะช่วยให้คุณเข้าถึงตลาดด้วยความมั่นใจและชัดเจน เปลี่ยนความรู้เป็นการปฏิบัติได้ทันที อย่างไรก็ตาม ต้องตระหนักว่าตลาดมีความเสี่ยงสูงและความผันผวน การลงทุนอาจทำให้ได้กำไรหรือขาดทุนมาก

การเข้าใจภาษาและคำศัพท์การลงทุนไม่ใช่แค่ทักษะเท่านั้น แต่เป็นกุญแจสำคัญในการประสบความสำเร็จในโลกการเงิน

เอกสารฉบับนี้จัดทำขึ้นเพื่อให้ข้อมูลเบื้องต้นและใช้สำหรับการศึกษาเท่านั้น ความคิดเห็น การวิเคราะห์ ราคา หรือเนื้อหาอื่น ๆ ในเอกสารนี้ ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้คำแนะนำในการลงทุน หรือเพื่อให้ความเข้าใจด้านกฎหมายของประเทศ Belize

ผลประกอบการในอดีตไม่ได้เป็นการรับประกันถึงผลประกอบการในอนาคต การกระทำหรือการตัดสินใจใด ๆ ตามข้อมูลในเอกสารนี้ เป็นความเสี่ยงของผู้ดำเนินการเอง XTB ไม่มีส่วนรับผิดชอบต่อความสูญเสีย ความเสียหาย หรือผลกำไรหรือขาดทุนใด ๆ ที่อาจเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือทางอ้อมจากการใช้ข้อมูลในเอกสารนี้ ทุกการตัดสินใจลงทุนควรพิจารณาอย่างรอบคอบ และเป็นความรับผิดชอบของท่านเอง

ภาพที่แสดงคำว่า 'FAQ' ในรูปแบบซ้ำๆ โดยเน้นที่คำถามที่พบบ่อย

คำถามที่พบบ่อย

การเข้าใจคำศัพท์การเทรดช่วยให้คุณสามารถนำทางในตลาดการเงินได้อย่างมั่นใจ เข้าใจแนวคิดและกลยุทธ์ต่าง ๆ ได้ลึกซึ้งมากขึ้น อีกทั้งยังช่วยให้คุณสื่อสารกับโบรกเกอร์ เทรดเดอร์รายอื่น หรือแพลตฟอร์มการซื้อขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้สามารถตัดสินใจได้รอบคอบและลดความผิดพลาดที่อาจนำไปสู่การขาดทุน

คำศัพท์พื้นฐานที่ควรรู้ ได้แก่ ราคาซื้อ–ขาย (Bid และ Ask), เลเวอเรจ (Leverage), มาร์จิ้น (Margin), คำสั่งหยุดขาดทุน (Stop-Loss), พิป (Pip) และ อัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทน (Risk/Reward Ratio) ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญในการเข้าใจหลักการเทรดและการบริหารความเสี่ยง

คำศัพท์การเทรดส่วนใหญ่เป็นสากล สามารถใช้ได้กับทุกตลาด ไม่ว่าจะเป็น ฟอเร็กซ์ (Forex), หุ้น (Stocks), สินค้าโภคภัณฑ์ (Commodities) หรือ คริปโตเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) การเข้าใจคำศัพท์เหล่านี้จะช่วยให้คุณเทรดข้ามตลาดได้อย่างคล่องตัวและมั่นใจ

คุณควรเริ่มจากอ่านบทความ คู่มือ หรือแหล่งความรู้ที่รวบรวมคำศัพท์สำคัญ ฝึกใช้คำเหล่านั้นในสถานการณ์จริง ทดลองเทรดบนแพลตฟอร์มหรือบัญชีทดลอง (Demo Account) เพื่อฝึกความเข้าใจและการจดจำ เมื่อฝึกใช้อย่างต่อเนื่อง คุณจะสามารถใช้คำศัพท์การเทรดได้อย่างเป็นธรรมชาติและแม่นยำมากขึ้น

เข้าสู่ตลาดพร้อมลูกค้าของ XTB Group กว่า 2 000 000 ราย

ผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เราให้บริการมีความเสี่ยง เศษหุ้น (Fractional Shares) เป็นผลิตภัณฑ์ที่ให้บริการจาก XTB แสดงถึงการเป็นเจ้าของหุ้นบางส่วนหรือ ETF เศษหุ้นไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ทางการเงินอิสระ สิทธิของผู้ถือหุ้นอาจถูกจำกัด
ความสูญเสียสามารถเกินกว่าเงินที่ฝาก