นโยบายของธนาคารกลาง

บทความที่เกี่ยวข้อง:
เวลาอ่าน: 1 นาที
นโยบายของธนาคารกลาง

เรียนรู้เกี่ยวกับธนาคารกลางว่าทำไมพวกเขาถึงมีความสำคัญต่อทั้งตลาดและนักเทรด และพวกเขาสามารถมีอิทธิพลต่อตลาดการเงินได้อย่างไร

จากบทความนี้ คุณจะได้เรียนรู้:

  • ธนาคารกลางคืออะไรและบทบาทของมันในระบบการเงิน
  • ธนาคารกลางที่สำคัญที่สุดที่ควรติดตาม
  • ธนาคารกลางสามารถมีอิทธิพลต่อตลาดการเงินได้อย่างไร

ธนาคารกลางคือธนาคารของประเทศที่ให้บริการทางการเงินและธนาคารแก่รัฐบาลของประเทศและระบบธนาคารพาณิชย์ มันยังออกสกุลเงินของประเทศนั้น ๆ ตามคำกล่าวของธนาคารกลางยุโรปว่า “ธนาคารกลางคือสถาบันสาธารณะที่บริหารสกุลเงินของประเทศหรือกลุ่มประเทศและควบคุมอุปทานเงิน – ซึ่งหมายถึงจำนวนเงินที่หมุนเวียนอยู่ในระบบ เป้าหมายหลักของธนาคารกลางหลายแห่งคือความเสถียรของราคา ในบางประเทศ ธนาคารกลางยังต้องทำตามกฎหมายเพื่อสนับสนุนการจ้างงานเต็มจำนวน”

นอกจากนี้ยังควรจำไว้ว่าธนาคารกลางไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ บุคคลไม่สามารถเปิดบัญชีที่ธนาคารกลางหรือขอกู้ยืมจากธนาคารกลางได้ และในฐานะองค์กรสาธารณะ ธนาคารกลางไม่ได้มุ่งหวังผลกำไร

ทำไมธนาคารกลางถึงมีความสำคัญ?

สิ่งหนึ่งที่ควรจดจำเสมอคือ ธนาคารกลางมีความสำคัญไม่เพียงแต่สำหรับผู้เข้าร่วมตลาดเท่านั้น แต่ยังสำหรับเศรษฐกิจโดยรวม พวกเขามีหน้าที่รับผิดชอบในการรักษาเสถียรภาพของราคา และยังสามารถสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจหรือการจ้างงานได้

สำหรับตลาดการเงิน สิ่งที่สำคัญที่สุดที่นักเทรดควรจำคือธนาคารกลางควบคุมอุปทานเงิน ซึ่งหมายความว่านโยบายการเงินหรือการดำเนินนโยบายการคลังของธนาคารกลางสามารถมีผลต่อทิศทางของตลาดฟอเร็กซ์

เครื่องมือหลักของธนาคารกลางใด ๆ คือการตั้งอัตราดอกเบี้ย ซึ่งเรียกอีกอย่างว่า "ต้นทุนของเงิน" เมื่อธนาคารกลางปรับอัตราดอกเบี้ย มันจะส่งผลต่อตลาดอัตราดอกเบี้ย รวมถึงตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ

ลองมาดูตัวอย่างกันครับ สมมติว่าธนาคารกลางสหรัฐ (Federal Reserve) เห็นว่าเศรษฐกิจดำเนินไปได้ดี อัตราการว่างงานต่ำในระดับที่น่าพอใจ การเติบโตทางเศรษฐกิจมั่นคง และอัตราเงินเฟ้อกำลังเพิ่มสูงขึ้น ในสถานการณ์เช่นนี้ ธนาคารกลางสหรัฐอาจตัดสินใจที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อป้องกันไม่ให้ราคาสินค้าพุ่งสูงเกินไป เมื่ออัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น เงินกู้ยืมจะมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้น ทำให้ทั้งบุคคลและบริษัทน้อยลงที่สนใจจะกู้เงิน ซึ่งจะทำให้การเติบโตชะลอตัว

แต่ผลกระทบต่อสกุลเงินเป็นอย่างไร? ขณะที่อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นทำให้การกู้ยืมหรือเครดิตมีราคาสูงขึ้น เงินฝากจะได้รับดอกเบี้ยมากขึ้น ดังนั้นนักเทรดอาจมองหาการซื้อสกุลเงินเพื่อผลตอบแทนที่สูงขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่ความต้องการที่สูงขึ้นสำหรับดอลลาร์ ทำให้สกุลเงินนั้นมีมูลค่าสูงขึ้น ลองดูด้านล่างว่า EURUSD ตอบสนองต่อการตัดสินใจนโยบายการเงินของ Fed ในเดือนธันวาคม 2016 อย่างไร

มีสิ่งที่สำคัญที่ควรจะจดจำเอาไว้ นั่นคือ อย่างไรก็ตาม อัตราดอกเบี้ยไม่ได้เป็นแค่เครื่องมือเดียวที่ธนาคารกลางใช้ในการควบคุมทางด้านเศรษฐกิจและการเงิน การธนาคารกลางได้มีการวิวัฒนาการและมาตราการทางการเงินพิเศษได้ถูกนำมาใช้หลังจากวิกฤตทางการเงินในปี 2008 และ 2009 ธนาคารกลางสามารถซื้อพันธบัตรรัฐบาลหรือให้สถาบันเอกชนกู้ยืมเงิน เพื่อเป็นการกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ นอกจากนั้นแล้ว ธนาคารกลางสามารถซื้อหลักทรัพย์อื่นๆ (กิจการ) จากธนาคาร เพื่อป้องกันหลักทรัพย์ (กิจการ) นั้นจากการล้มละลาย Fed เคลื่อนไหวตามนี้หลังจากวิกฤตเศรษฐกิจ และการเคลื่อนไหวนี้เป็นการกระตุ้นการเริ่มต้นของแนวโน้มซื้อในตลาดหลักทรัพย์วอลสตรีทหลายปีติดต่อกัน 

 อย่างที่คุณเห็น ธนาคารกลางเป็นผู้ร่วมตลาดที่มีความสำคัญที่สุด ที่สามารถเปลี่ยนแปลงทิศทางของตลาดได้ อย่างไรก็ตาม บางสถาบันของธนาคารกลางสามารถแทรกแซงตลาดได้มากกว่าที่อื่นๆ ลองมาดูกันว่าธนาคารกลางไหนที่เราต้องให้ความสนใจ

ธนาคารกลางบางแห่งที่มีความสำคัญ:

มีธนาคารกลางที่มีความสำคัญอยู่ 4 แห่ง ซึ่งผลของการตัดสินใจของสถาบันเหล่านี้สามารถมีผลกระทบอย่างมากต่อตลาดการเงิน

ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Reserve หรือ Fed) - Fed เป็นธนาคารกลางของสหรัฐอเมริกา คณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (The Federal Open Market Committee หรือ FOMC) มีหน้าที่รับผิดชอบในการดำเนินนโยบายทางการเงิน ซึ่งมีความสำคัญต่อตลาดทางการเงิน FOMC มีการจัดการประชุมทั่วไปถึง 8 ครั้งในรอบปี ในการประชุมเหล่านี้ คณะกรรมการจะทบทวนสภาพทางเศรษฐกิจและสภาพทางการเงิน พิจารณาการใช้นโยบายการเงินที่มีความเหมาะสม และประเมินความเสี่ยงต่อเป้าหมายในระยะยาวของธนาคารกลางในการจัดการกับความมั่นคงของราคาและการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน FOMC จัดประชุม 2 ครั้งในแต่ละไตรมาส และการประชุมครั้งสุดท้ายของแต่ละไตรมาสจะมีการแถลงข่าวกับสื่อมวลชนและรายงานทางเศรษฐกิจของ FOMC เลขาธิการ Fed คนปัจจุบันคือ Janet Yellen ซึ่งคำปราศรัยของเขาสามารถมีผลกระทบทางเศรษฐกิจได้มากเท่าๆ กับผลกระทบของการขึ้นหรือลดอัตราดอกเบี้ย อย่างไรก็ตาม เราควรจะฟังความเห็นของสมาชิกคนอื่นๆ ของคณะกรรมการจัดตั้งนโยบายด้วย เพราะการตัดสินใจของ FOMC ขึ้นอยู่กับฉันทามติที่เป็นเอกฉันท์ของสมาชิกในคณะกรรมการ
 

ธนาคารกลางยุโรป (The European Central Bank หรือ ECB) - ECB เป็นธนาคารกลางของสภาพการเงินยุโรป​ (the European Monetary Union) มันเป็นธนาคารกลางของประเทศในสภาพยุโรป 19 ประเทศ ซึ่งใช้สกุลเงินยูโร หน้าที่หลักของ ECB คือการรักษาความมั่นคงของราคาในเขตที่ใช้เงินยูโร และรักษากำลังในการชำระสินค้าของเงินสกุลยูโร  สภาปกครองเป็นตัวกลางหลักในการพิจารณานโยบายของ ECB สภาปกครองประกอบด้วยสมาชิกคณะกรรมการ 6 คน และผู้แทนของรัฐของธนาคารกลางจากแต่ะละ 19 ประเทศนั้น สภาปกครองพบปะเพื่อหารือเกี่ยวกับนโยบายการเงินทุกๆ 6 อาทิตย์ ในการประชุมแต่ละครั้งจะมีการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนของเลขาธิการหลังการประชุมทุกครั้ง เลขาธิการของธนาคารกลางคนปัจจุบันคือ Mario Draghi ซึ่งเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงจากการจบวิกฤตยูโรด้วยคำแถลงของเขาที่ว่า  “ECB จะทำทุกอย่างเพื่อปกป้องยูโร”
 

ธนาคารของญี่ปุ่น - จากชื่อของมันธนาคารของญี่ปุ่น (Bank Of Japan หรือ BoJ) เป็นธนาคารกลางของญี่ปุ่น หน้าที่หลักของ BoJ คือการรักษาความมั่นคงของราคา แต่ว่ามันเป็นสิ่งสำคัญที่จะรับรู้ไว้ว่าตั้งแต่ปี 1990 เศรษฐกิจของญี่ปุ่นมีปัญหาติดขัดอย่างมาก การเติบโตทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นเเทบจะเป็นศูนย์ ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อยังคงคลุมเครือและบางครั้งก่อให้เกิดภาวะเงินฝืด นี่เป็นเหตุผลที่ธนาคารของญี่ปุ่นใช้มาตรการพิเศษซึ่งแตกต่างจากธนาคารกลางอื่นๆ ได้แก่ อัตราดอกเบี้ยติดลบ สมาชิกของธนาคารของญี่ปุ่นมีประชุม 8 ครั้งต่อปี เพื่อที่จะตัดสินใจเกี่ยวกับทิศทางของนโยบายการเงิน ผู้บริหารของธนาคารกลางคือ Haruhiko Kuroda จะปรากฏตัวต่อสื่อมวลชนทุกครั้งหลังจากการทำการตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบายการเงิน
 

ธนาคารของอังกฤษ - แม้ว่าชื่อจะบอกว่าเป็นธนาคารกลางของอังกฤษ (Bank of England หรือ BoE) แต่จริงๆ มันคือธนาคารกลางของสหราชอาณาจักรทั้งหมด ไม่ใช่แค่อังกฤษ จุดประสงค์หลักของธนาคารอังกฤษคือการรักษาความมั่นคงของราคา แต่หลังจากประชามติ Brexit BoE ได้ปรับเปลี่ยนจุดยืนเพื่อให้ความช่วยเหลือการเติบโตทางด้านเศรษฐกิจ แม้ว่ามันจะไม่ใช่กฏที่เป็นทางการ BoE ได้ขีดเส้นในการให้ความช่วยเหลือด้านเศรษฐกิจระหว่างช่วงเวลาที่มี Brexit การตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบายการเงินถูกดำเนินการโดยคณะกรรมการนโยบายการเงิน ที่จัดประชุม 8 ครั้งต่อปี ความคิดเห็นทางเทคนิคของคำตัดสินของ BoE จะคล้ายๆ กับคำตัดสินของ Fed - ผู้มีอำนาจใน BoE จะร่วมให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนหลังจากการตัดสินใจรอบที่ 4 เท่านั้น อย่างไรก็ตาม ข้อแตกต่างอย่างหนึ่งก็คือ BoE จะตีพิมพ์รายงานการประชุมจากการประชุมครั้งสุดท้าย (รายงานอธิบายการอภิปรายที่เกิดขึ้นระหว่างการประชุม - มันให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับทิศทางของนโยบายการเงิน) ควบคู่ไปกับคำตัดสิน Fed ตีพิมพ์รายงานการประชุมภายใน 3 อาทิตย์หลังจากการมีการประชุม ผู้บริหารของ BoE คนล่าสุดคือ Mark Carney ซึ่งเขาจะหมดอำนาจหลังจาก Brexit สิ้นสุดลง

นกเหยี่ยวกับนกพิราบ (hawks vs. doves):

ต่างคนต่างความคิด ดังนั้นไม่น่าประหลาดใจที่ผู้กำหนดนโยบายสามารถที่จะมีความเห็นที่แตกต่างเกี่ยวกับเศรษฐกิจเช่นเดียวกับนโยบายการเงิน จากธนาคารกลางทั้งหมดเราสามารถแยกออกเป็น 2 กลุ่ม: นกเหยี่ยวกับนกพิราบ

เหยี่ยว - เหยี่ยวเป็นผู้กำหนดนโยบายที่ให้ความสนใจในการรักษาอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับต่ำเป็นลำดับแรก เช่นนายธนาคารจะชอบอัตราดอกเบี้ยสูง และนโยบายการเงินที่รอบคอบ เพื่อที่จะจัดการอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับที่น่าพอใจ พวกเขาจะไม่กังวลต่อภาพรวมทางเศรษฐกิจของประเทศ

พิราบ - พิราบคือผู้กำหนดนโยบายที่สามารถทนต่ออัตราเงินเฟ้อที่สูงได้ เพื่อที่จะกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจและให้ความช่วยเหลือในการจ้างงาน ผู้กำหนดนโยบายดังกล่าวนิยมอัตราดอกเบี้ยต่ำ

อย่างที่คุณเห็น มีวิธีการในการอธิบายจุดยืนเกี่ยวกับนโยบายการเงินของธนาคารกลางอยู่ 2 แบบ ถ้าคุณได้ยินว่าธนาคารเป็นเหยี่ยว นั้นหมายความว่าธนาคารต้องการที่จะเพิ่มอัตราดอกเบี้ย หรือมีมุมมองวในการเพิ่มการซื้อเมื่อเศรษฐกิจอยู่ในช่วงขาลง ตัวอย่างเช่น Fed เป็นเหยี่ยวที่จะให้สัญญาณเพิ่มอัตราดอกเบี้ย ดังนั้นจะก่อให้เกิดการแข็งตัวของเงินดอลล่าร์ ในทางตรงกันข้าม ธนาคารที่เป็นพิราบจะทำให้เกิดผลกระทบในด้านลบต่อเงินตรา เนื่องจากธนาคารเหล่านี้ไม่ได้รีบร้อนที่จะยกระดับความเข้มงวดของนโยบายของมัน 

ผู้ที่มีส่วนร่วมในตลาดที่มีอำนาจมากที่สุด:

ธนาคารกลางเป็นผู้มีส่วนร่วมในตลาดที่มีอำนาจมากที่สุด การตัดสินใจของธนาคารกลาง หรือ แม้กระทั่งคำพูดจากสมาชิกเพียงคนหนึ่งของผู้กำหนดนโบาย สามารถทำให้เกิดผลกระทบที่สำคัญ ไม่เพียงแต่กับเงินตรา แต่ยังรวมไปถึงตลาดหุ้นและพันธบัตรอีกด้วย นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเทรดเดอร์ที่มีความรอบคอบควรจะมั่นตรวจสอบทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจนโยบายการเงินและการตัดสินใจของธนาคารกลางอย่างใกล้ชิด

 

บทความนี้ถูกจัดทำขึ้นเพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและใช้เพื่อประโยชน์ทางการศึกษาเท่านั้น ความคิดเห็น การวิเคราะห์ ราคา หรือเนื้อหาอื่นๆ ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของคำแนะนำทางด้านการลงทุน การวิจัยใดๆ ไม่ได้ถูกจัดเตรียมขึ้นตามข้อบังคับทางกฏหมาย ในการประชาสัมพันธ์ความเป็นอิสระของวิจัยทางการลงทุน และการวิจัยดังกล่าวก็ไม่ได้เป็นการสื่อสารทางการตลาด ทางบริษัท XTB ไม่มีส่วนในการรับผิดชอบต่อความเสียหาย หรือการสูญเสีย รวมถึง ขาดข้อจำกัด กำไร หรือขาดทุน ที่อาจจะเกิดจากการใช้ประโยชน์หรือการพึ่งพาข้อมูลนี้ทั้งทางตรงและทางอ้อม 

โปรดตระหนักไว้ว่าข้อมูลและการวิจัยนี้ใช้ข้อมูลในอดีต หรือ ผลการดำเนินการไม่ได้การันตีผลการดำเนินงานในอนาคตหรือผลลัพธ์ในอนาคต

เข้าสู่ตลาดพร้อมลูกค้าของ XTB Group กว่า 1 600 000 ราย

ผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เราให้บริการมีความเสี่ยง เศษหุ้น (Fractional Shares) เป็นผลิตภัณฑ์ที่ให้บริการจาก XTB แสดงถึงการเป็นเจ้าของหุ้นบางส่วนหรือ ETF เศษหุ้นไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ทางการเงินอิสระ สิทธิของผู้ถือหุ้นอาจถูกจำกัด
ความสูญเสียสามารถเกินกว่าเงินที่ฝาก