ในบทนี้เราจะมาศึกษาเรื่อง:
- การวิเคราะห์พื้นฐานคืออะไร
- บทบาทของธนาคารกลาง
- ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างการวิเคราะห์พื้นฐานและการวิเคราะห์เชิงเทคนิค
การวิเคราะห์สองประเภทที่พบบ่อยที่สุดเมื่อพูดถึงตลาดการเงิน คือ การวิเคราะห์พื้นฐานและเชิงเทคนิค
ในระหว่างบทเรียนนี้ เราจะพิจารณาการวิเคราะห์พื้นฐานอย่างละเอียดมากขึ้น
ต่างจากการวิเคราะห์ทางเทคนิค ซึ่งดูการเคลื่อนไหวของราคาและแนวโน้มเพื่อระบุทิศทางที่ราคากำลังจะเคลื่อนไหวต่อไป นักวิเคราะห์พื้นฐานจะพิจารณาข้อมูลที่มีอยู่ทั้งหมดเพื่อช่วยในการกำหนดมูลค่าสัมพัทธ์ของตลาด จากนั้น พวกเขาจะเปรียบเทียบระหว่างราคาตลาดปัจจุบันราคาที่ตนเองประเมิน เพื่อหาโอกาสในการเข้าซื้อขาย
ลองจินตนาการว่าคุณต้องการจะซื้อรถยนต์ และมีอยู่หนึ่งคันที่คุณเล็งไว้ ซึ่งมีราคา 10,000 ดอลลาร์ แต่คุณไม่รู้ว่านี่เป็นราคาที่ยุติธรรมหรือไม่ ดังนั้น คุณจึงค้นคว้าข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต สอบถามความคิดเห็นของคนอื่น เปรียบเทียบกับราคาที่มีในตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ต่างๆ และทำการวิจัยพื้นฐานทั่วไปเพื่อประเมินว่า ราคาดังกล่าวเหมาะสมหรือไม่ และรถยนต์คันนั้นจะคุ้มค่ากับเงินหรือไม่
สิ่งที่คุณจะทำในสถานการณ์ข้างต้นนี้เอง ที่เรียกได้ว่าเป็นการวิเคราะห์พื้นฐาน เพราะคุณนำปัจจัยพื้นฐานทั้งหมดมาประเมิน เพื่อตัดสินใจว่า ราคาสินทรัพย์นั้นสะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของมันหรือไม่
การค้นหาเงื่อนงำ
Here are some examples of macroeconomic data releases and why they can have an impact on financial markets:
นักวิเคราะห์พื้นฐานใช้ข้อมูลที่มีอยู่มากมาย รวมถึงรายงานผลประกอบการของบริษัท เหตุการณ์ทางการเมือง นโยบายธนาคารกลาง ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมและอื่นๆ เพื่อช่วยในการวิเคราะห์ พวกเขาค้นหาเงื่อนงำเกี่ยวกับทิศทางของตลาดในอนาคต
เบาะแสข้อมูลดังกล่าวมักพบได้ในข้อมูลทางเศรษฐกิจมหภาค ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้การรู้ว่าข้อมูลสำคัญๆ จะถูกเผยแพร่ออกมาเมื่อไร มีความสำคัญต่อเทรดเดอร์ที่ชอบวิเคราะห์พื้นฐาน ตลาดมีแนวโน้มที่จะมุ่งไปในทิศทางที่เกิดจากการคาดการณ์ตัวเลขสำคัญทางเศรษฐกิจมหภาค ที่อาจส่งผลกระทบต่อตลาดและก่อให้เกิดความผันผวน
ต่อไปนี้คือตัวอย่างของการเผยข้อมูลทางเศรษฐกิจมหภาคและสาเหตุที่ข้อมูลเหล่านี้สามารถส่งผลกระทบต่อตลาดการเงิน:
- เงินเฟ้อ- อัตราเงินเฟ้อเป็นอัตราที่ระดับราคาสินค้าและบริการทั่วไปเพิ่มขึ้น ธนาคารกลางจะพยายามควบคุมอัตราเงินเฟ้อและหลีกเลี่ยงภาวะเงินฝืด เพื่อประคองให้เศรษฐกิจของประเทศนั้นดำเนินไปอย่างราบรื่น พวกเขาทำได้โดยการขึ้นดอกเบี้ยตัวอย่างเช่น การที่ธนาคารกลางประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย อาจนำไปสู่การแข็งค่าขึ้นของสกุลเงินที่เกี่ยวข้อง
- อัตราการว่างงาน - ข้อมูลจากตลาดแรงงาน เช่น ข้อมูลการจ้างงานนอกภาคการเกษตรของสหรัฐอเมริกา อาจมีอิทธิพลอย่างสูงในตลาดการเงินและสามารถจุดประกายความผันผวนในดัชนีต่างๆ และตลาดฟอเร็กซ์ ทั้งนี้ ข้อมูลการจ้างงานจะเผยแพร่ออกมาในวันศุกร์แรกของทุกเดือน โดยมีการแสดงภาพรวมการจ้างงานของชาวสหรัฐฯ ในแต่ละธุรกิจ ตลาดนี้มีความอ่อนไหวต่อข้อมูลประเภทนี้มาก เนื่องจากมีความสำคัญในการระบุอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อตัวอย่างเช่น หากการจ้างงานนอกภาคการเกษตรเพิ่มขึ้น ก็อาจตีความได้ว่าเป็นเครื่องบ่งชี้ที่ดีว่าเศรษฐกิจกำลังเติบโต หากการเพิ่มขึ้นของการจ้างงานนอกภาคเกษตรเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ก็อาจเป็นการบ่งชี้ว่า อัตราเงินเฟ้ออาจเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ หากตัวเลขจ้างงานต่ำกว่าที่คาดไว้ นักเทรดฟอเร็กซ์อาจขายเงิน USD เนื่องจากคาดการณ์ว่า ค่าเงินดังกล่าวจะอ่อนตัวลง แต่หากตัวเลขจ้างงานสูงกว่าที่คาด ค่าเงิน USD ก็อาจแข็งค่าขึ้นเช่นกัน
- ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) - นี่เป็นตัวชี้วัดผลผลิตของสินค้าและบริการทั้งหมดที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง เจ้าหน้าที่ธนาคารกลางและนักลงทุนจะดูการเติบโตของ GDP เพื่อคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจกำลังแข็งแกร่งขึ้นหรือไม่ เมื่อเศรษฐกิจขยายตัว บริษัทจะสร้างผลกำไรที่สูงขึ้นและผู้คนมีรายได้มากขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นและสกุลเงินที่แข็งแกร่ง
วิธีการเผยแพร่ข้อมูลเศรษฐกิจมหภาคสามารถส่งผลกระทบต่อตลาด ซึ่งขึ้นอยู่กับความคาดหวังของตลาด โดยทั่วไปแล้ว ยิ่งมีความแตกต่างระหว่างความคาดหวังและความเป็นจริงมากเท่าไร ปฏิกริยาของตลาดก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น หากตลาดคาดหวังว่าธนาคารกลางจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยและธนาคารก็ทำเช่นนั้นจริงๆ ตลาดมักจะมีปฏิกิริยาไปในเชิง 'ปรับขึ้นตามคาด' แต่หากข้อมูลที่เผยออกมาไม่เป็นไปตามคาด นั่นจะเป็นการจุดประกายความผันผวนในตลาด
คุณสามารถรับทราบข้อมูลพื้นฐานทั้งหมดได้จากปฏิทินเศรษฐกิจของเราที่ครอบคลุมข้อมูลทุกอย่าง ผลกระทบต่อตลาดขึ้นอยู่กับความแตกต่างระหว่างการคาดการณ์ทางเศรษฐศาสตร์มหภาคและความคาดหวังของตลาด ยิ่งแตกต่างมากเท่าไร ก็ยิ่งมีผลต่อตลาดมากเท่านั้น คุณสามารถรับทราบข้อมูลพื้นฐานที่เผยแพร่ด้วยปฏิทินเศรษฐกิจของเราที่ครอบคลุมข้อมูลทุกอย่าง โดยการประกาศข่าวแต่ละครั้ง จะถูกจัดประเภทเป็นสูง ปานกลาง หรือต่ำ ในแง่ของผลกระทบและศักยภาพในก่อให้เกิดความผันผวนของตลาด
ธนาคารกลางควบคุมโลก
อย่างที่เกริ่นไปก่อนหน้านี้ หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่สุดในการวิเคราะห์พื้นฐาน คือ นโยบายการเงินที่ดำเนินการโดยธนาคารกลาง อัตราดอกเบี้ย การดำเนินการในตลาดเปิด และการแทรกแซงของธนาคารกลางมีอิทธิพลต่อสภาวะตลาดและมีการติดตามอย่างใกล้ชิดโดยนักวิเคราะห์ทางการเงินและเทรดเดอร์ ทั้งนี้ ธนาคารกลางที่ทรงอิทธิพลที่สุดบางแห่ง ได้แก่ ธนาคารกลางสหรัฐฯ, ธนาคารแห่งประเทศอังกฤษ (สหราชอาณาจักร), ธนาคารกลางยุโรป และธนาคารแห่งประเทศญี่ปุ่น
ลองมาดูตัวอย่าง เศรษฐกิจสหรัฐเพิ่มขึ้น 3% ในไตรมาสที่ 1 ปี 2560 ในขณะที่อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 2.5% เมื่อเทียบปีต่อปี ธนาคารกลางสหรัฐฯ เลือกที่จะขึ้นอัตราดอกเบี้ย เมื่ออัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นสูงขึ้น ดังนั้น เทรดเดอร์จึงตัดสินใจที่จะนำเงินของพวกเขามาแลกเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐเนื่องจากสามารถสร้างผลตอบแทนที่สูง การเคลื่อนไหวดังกล่าวสามารถนำไปสู่ความต้องการเงินดอลลาร์ที่สูงขึ้น ซึ่งจะผลักดันให้ราคาสูงขึ้น ทั้งนี้ โปรดตระหนักว่า ยังมีอีกหลายปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อราคาในตลาด ซึ่งที่กล่าวไปก่อนหน้านี้เป็นเพียงตัวอย่างเพื่อวัตถุประสงค์ทางการศึกษาเท่านั้น
ไม่ใช่แค่นักการธนาคารและข้อมูล
การวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานยังพิจารณาถึงอิทธิพลภายนอกที่อาจส่งผลกระทบต่อมูลค่าหรือการเคลื่อนไหวของราคา นอกจากนี้ ภัยธรรมชาติอย่างน้ำท่วมหรือแผ่นดินไหวก็อาจส่งผลกระทบอย่างมากต่อความแข็งแกร่งเชิงพื้นฐานของแต่ละสินทรัพย์ ตัวอย่างเช่น การระเบิดของท่อส่งน้ำมันหลักๆ ก็อาจนำไปสู่การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของราคาน้ำมัน เนื่องจากการขนส่งหรือซื้อสินค้าโภคภัณฑ์ชนิดนี้ จะกลายเป็นเรื่องยากมากขึ้น ในสถานการณ์เช่นนี้ คุณสามารถใช้การเทรดแบบ CFDs เพื่อเปิดสถานะซื้อน้ำมัน
มุมมองที่แตกต่าง
- การวิเคราะห์ทางเทคนิคโฟกัสที่การเคลื่อนไหวของราคาและแนวโน้มเป็นหลัก ซึ่งต่างจากการวิเคราะห์พื้นฐานที่ใช้ข้อมูลที่มีอยู่ทั้งหมดเพื่อกำหนดมูลค่าของตราสารต่างๆ
- นักวิเคราะห์ทางเทคนิคเชื่อว่า ข้อมูลทั้งหมดที่พวกเขาต้องการนั้นมีอยู่ในแผนภูมิกราฟแล้ว แต่การวิเคราะห์พื้นฐานจะมองไปที่แง่มุมอื่นๆ เช่น ปัจจัยทางการเมือง สังคม เศรษฐกิจ และตัวเลขเศรษฐกิจมหภาค รวมถึงรายรับของบริษัทต่างๆ ด้วย
- การวิเคราะห์พื้นฐานและทางเทคนิคไม่จำเป็นต้องแยกออกจากกัน ที่จริงแล้ว เทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จบางคนยืนยันว่า การผสมผสานการวิเคราะห์ทั้งสองแบบ ถือเป็นสิ่งที่จำเป็น