การเลือกหุ้นที่ดีเพื่อการลงทุนนั้นถือเป็นเรื่องที่ท้าทายเสมอ โดยส่วนใหญ่ธุรกิจที่มีแนวโน้มดีจะดึงความสนใจของนักลงทุนตามภาวะฟองสบู่ แต่สุดท้าย หุ้นของบริษัทเหล่านี้เกิดทำรายได้ต่ำหรืออัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูง และบางครั้งหุ้นเหล่านี้ก็อาจล้มเหลวจนได้
![]()
ไม่มีวิธีการใดที่จะรับประกันว่าการลงทุนหุ้นเป็นทางเลือกที่ดีและนำมาผลกำไรเสมอไป อย่างไรก็ตาม นับเป็นเวลาหลายปีที่นักลงทุนพยายามคัดเลือกลงทุนในบริษัทที่ดูมีศักยภาพและมีอนาคตที่ดีในระยะยาว สิ่งที่สำคัญคือ “การเลือกหุ้น" ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญในการลงทุน มาดูกันว่าการคัดเลือกหุ้นดีเข้าพอร์ตต้องพิจารณาจากอะไรบ้าง
ทำไมต้องลงทุนในหุ้น?
มาเริ่มกันที่แนวคิดเรื่องการลงทุนกันก่อนว่า"ทำไมเราถึงควรลงทุน?" แม้ว่าการลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่การไม่ลงทุนในระยะยาวกลับเสี่ยงยิ่งกว่า ลองคิดถึงการฝากเงินในธนาคารในช่วงที่ดอกเบี้ยต่ำ ซึ่งตอนนี้แทบจะไม่ได้ดอกเบี้ยเลย สิ่งสำคัญที่นักลงทุนต้องรู้คือ "ดอกเบี้ยทบต้น" ซึ่งหมายถึงการนำกำไรไปลงทุนซ้ำ ดอกเบี้ยทบต้นนี้เป็นสูตรลับของนักลงทุนระยะยาวที่ประสบความสำเร็จ
ดอกเบี้ยทบต้น = การลงทุนเริ่มต้น ×1+in
ลงทุน 1,200 ดอลลาร์ (≈40,398.60 บาท) ต่อปีถือเป็นเรื่องสมเหตุสมผลสำหรับคนส่วนใหญ่ ตามประวัติศาสตร์ของตลาด ยิ่งเสี่ยงยิ่งรับผลตอบแทนที่มากขึ้น ที่มา: The Motley Fool (fool.com)
โปรดทราบว่าข้อมูลที่นำเสนอนั้นอ้างอิงถึงข้อมูลผลการดำเนินที่ผ่านมา และด้วยเหตุนี้จึงไม่ใช่ตัวบ่งชี้ที่น่าเชื่อถือสำหรับผลการดำเนินในอนาคต
เมื่อคุณเข้าใจถึงโอกาสและความเสี่ยงของการลงทุนแล้ว สิ่งต่อไปที่ควรทำคือกำหนดเป้าหมายและรูปแบบการลงทุนที่เหมาะกับตัวเอง เริ่มจากการระบุเป้าหมายให้ชัดเจน เช่น คุณต้องการขยายพอร์ตการลงทุนในระยะยาวหรือรับผลตอบแทนจากเงินปันผล คุณวางแผนจะออมเงินเพื่อการเกษียณในอีก 30, 40, หรือ 50 ปี หรือคุณต้องการทำกำไรใน 10 ปีเพื่อซื้อบ้านใหม่ บางคนอาจมีเป้าหมายการลงทุนในระยะสั้นเพียง 2 ปี ซึ่งก็เป็นไปได้เช่นกัน
เมื่อตั้งเป้าหมายการลงทุนของตัวเองได้แล้ว ควรยึดมั่นในเป้าหมายนั้น แต่ไม่ใช่นักลงทุนทุกคนที่จะทำได้ โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดล่มสลายซึ่งอาจทำให้ลืมเป้าหมายแต่แรกของตัวเอง ดังนั้น นักลงทุนควรถามตัวเองเสมอว่าเป้าหมายการลงทุนที่แท้จริงของตนคืออะไร
จากนั้น คุณต้องกำหนดรูปแบบหรือกลยุทธ์ทการลงทุนของตัวเอง ซึ่งอาจเป็นเรื่องยากสำหรับนักลงทุนมือใหม่ เพราะรูปแบบการลงทุนส่วนใหญ่จะมาจากประสบการณ์ อย่างไรก็ตาม คุณยังสามารถเรียนรู้และทำความเข้าใจวิธีการลงทุนต่างๆ เพื่อค้นหารูปแบบที่เหมาะกับตัวเองที่สุด ลองถามตัวเองว่าคุณต้องการลงทุนแบบ Passive หรือ Active? คุณวางแผนจะซื้อหุ้นเฉพาะหลังจากที่บริษัทประกาศผลกำไรที่มั่นคงหรือไม่? นอกจากนี้ คุณควรพิจารณาประเด็นต่างๆ เช่น:
- การลงทุนแบบ Active หรือ Passive
- การลงทุนเพื่อการเติบโตหรือการลงทุนเพื่อมูลค่า
- บริษัทขนาดใหญ่หรือบริษัทขนาดเล็ก
ระดับความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนจะขึ้นอยู่กับรูปแบบการลงทุนของนักลงทุน กลยุทธ์บางอย่างอาจมีความเสี่ยงมากกว่าแต่อัตราที่คาดหวังก็สูงกว่าเช่นกัน ที่มา: การวิจัย XTB อ้างอิงจาก Morningstar Style Box
โปรดทราบว่าข้อมูลที่นำเสนอนั้นอ้างอิงถึงข้อมูลผลการดำเนินที่ผ่านมา และด้วยเหตุนี้จึงไม่ใช่ตัวบ่งชี้ที่น่าเชื่อถือสำหรับผลการดำเนินในอนาคต
การวิเคราะห์คือกุญแจสำคัญ
ขั้นตอนที่ท้าทายที่สุดในการลงทุนหุ้นคือการเลือกบริษัทที่น่าลงทุน ในส่วนนี้เราจะพูดถึงปัจจัยสำคัญส่วนใหญ่ที่นักลงทุนจำเป็นต้องพิจารณาก่อนจะเริ่มต้น
![]()
ภาคส่วนที่คุ้นเคย
การเลือกภาคส่วนที่คุณรู้จักและมั่นใจในการลงทุนเป็นความคิดที่ดีเมื่อเริ่มต้น และควรหลีกเลี่ยงการลงทุนในอุตสาหกรรมที่คุณไม่คุ้นเคย
ควรพิจารณาลงทุนในหุ้นของบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่คุณทำงานอยู่ ตัวอย่างเช่น วิศวกรอาจค้นคว้าหุ้นที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการผลิต เพราะมีข้อได้เปรียบและความเข้าใจในภาคส่วนนี้
นักลงทุนหลายคนยังมีแนวโน้มที่จะซื้อหุ้นของบริษัทที่มีสินค้าที่พวกเขาชื่นชอบ ตัวอย่างเช่น หากคุณเป็นแฟนพันธุ์แท้ของ Apple และเป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ของพวกเขา (และเข้าใจธุรกิจของพวกเขา) ก็คงไม่แปลกที่คุณจะสนใจลงทุนในหุ้นของบริษัทนี้
อย่างที่เห็น การค้นคว้าหุ้นชั้นนำไม่ได้จำกัดอยู่แค่หน้าจอคอมพิวเตอร์ แต่ยังมีมากกว่านั้นอีกด้วย
การเติบโตและมูลค่าของบริษัท
การลงทุนในบริษัทที่มีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งถือเป็นการลงทุนที่ดี อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้นักลงทุนตัดสินใจได้ยากคือการเลือกที่จะเชื่อมั่นระหว่างข้อมูลแสดงถึงมูลค่าและการเติบโตของบริษัท หุ้นที่มีการเติบโตหมายถึงบริษัทนั้นมีโอกาสที่จะสร้างการเติบโตด้านรายได้อย่างสูงในอนาคต บริษัทเหล่านี้มักแสดงผลกำไรที่สูงกว่าค่าเฉลี่ย ในขณะเดียวกัน หุ้นที่มีมูลค่าแสดงถึงบริษัทที่จัดตั้งขึ้นพร้อมปัจจัยพื้นฐานที่มั่นคงและรูปแบบธุรกิจที่แน่นอน
วิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุดคือการกระจายความเสี่ยงต่อหุ้นที่เลือกโดยเลือกหุ้นของบริษัททั้งสองประเภทเข้าพอร์ต ในระยะยาว การถือหุ้นที่หลากหลายจะสร้างอัตราผลตอบแทนที่เหมาะสมและช่วยลดความเสี่ยงโดยรวมให้น้อยที่สุด ดังนั้น การกระจายพอร์ตการลงทุนจึงมีความสำคัญเช่นกันการประเมินมูลค่า
การประเมินมูลค่า
นักลงทุนสถาบันมักจะตัดสินใจโดยพิจารณาจากแบบจำลองทางการเงินของตน เพื่อการลงทุนอย่างมีประสิทธิผล ผู้ลงทุนจำเป็นต้องเข้าใจตัวชี้วัดการประเมินมูลค่าขั้นพื้นฐานอย่างชัดเจน เช่น อัตราส่วน P/E อัตราส่วน P/S EV/EBITDA และตัวชี้วัดอื่นๆ วิธีการประเมินค่าหลายวิธีมีประโยชน์มากเนื่องจากมีความเรียบง่ายและมีประสิทธิภาพ วิธีนี้ใช้หลักการที่ว่าหุ้นที่คล้ายคลึงกันจะมีราคาใกล้เคียงกัน สิ่งนี้ช่วยให้นักลงทุนประเมินได้ว่าบริษัทมีมูลค่าต่ำเกินไปหรือมีมูลค่าสูงเกินไปเมื่อเทียบกับบริษัทอื่นๆ
ตัวอย่างของการประเมินมูลค่าบริษัทหลายรายการที่สามารถเปรียบเทียบได้ ที่มา: Corporate Finance Institute (corporatefinanceinstitute.com)
โปรดทราบว่าข้อมูลที่นำเสนอนั้นอ้างอิงถึงข้อมูลผลการดำเนินที่ผ่านมา และด้วยเหตุนี้จึงไม่ใช่ตัวบ่งชี้ที่น่าเชื่อถือสำหรับผลการดำเนินในอนาคต
นักลงทุนรายย่อยสามารถลองสร้าง DCF Model ง่ายๆ โดยอิงตามสมมติฐานของตนเองเกี่ยวกับหุ้นบางตัว คุณสามารถค้นหาเทมเพลตมากมายบนอินเทอร์เน็ตเพื่อเป็นตัวอย่าง ถึงแม้จะไม่มีเวลาสร้างเทมเพลตตั้งแต่เริ่มต้น คุณยังคงสามารถใช้รายงานการวิจัยตราสารทุนโดยนักวิเคราะห์มืออาชีพจากธนาคารหรือของโบรกเพื่อการลงทุน รายงานเหล่านี้มักรวมเป้าหมายราคาและคำแนะนำการซื้อขาย อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเป้าหมายราคาขึ้นอยู่กับสมมติฐานของนักวิเคราะห์ จึงไม่ควรให้ความสำคัญกับสิ่งเหล่านั้นมากเกินไปเพราะนั้นไม่ได้เปลี่ยนความจริงที่ว่านักวิเคราะห์มีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับอุตสาหกรรมที่เขาคุ้นเคย และสามารถชี้ให้เห็นปัจจัยสำคัญ เช่น ความเสี่ยง โอกาส หรือจุดแข็งของบริษัทที่กำหนด วิธีที่ดีที่สุดคือการอ่านรายงานเหล่านั้นและสรุปผลของคุณเอง
เงินปันผล
การลงทุนในหุ้นที่จ่ายเงินปันผลเป็นกลยุทธ์ที่ได้รับความนิยมในหมู่นักลงทุนทั่วโลก บริษัทต่างๆ ที่ปรารถนาที่จะเป็นหุ้นที่จ่ายเงินปันผลสูงสุดมักจะพยายามเพิ่มเงินปันผลต่อหุ้น (DPS) อยู่เสมอ บริษัทดังกล่าวสามารถเชื่อมโยงกับนโยบายการจ่ายเงินปันผลที่สม่ำเสมอและเชื่อถือได้ ซึ่งเป็นลักษณะสองประการที่แสดงให้เห็นว่าบริษัทเคารพผู้ถือหุ้น หุ้นที่จ่ายเงินปันผลดีที่สุดนั้นมีลักษณะเด่นคืออัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ค่อนข้างสูง ซึ่งวัดจากเงินปันผลเป็นเปอร์เซ็นต์ของราคาหุ้นปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องทราบว่าอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลนั้นเป็นผลจากการหารเงินปันผลประจำปีของบริษัทด้วยราคาหุ้นปัจจุบัน ดังนั้น อัตราผลตอบแทนที่ผิดปกติจึงอาจบ่งบอกได้ว่าบริษัทกำลังอยู่ในช่วงเวลาที่ยากลำบากและนักลงทุนกำลังขายหุ้นออกไป
ปัจจัยเชิงคุณภาพ
ปัจจัยเชิงคุณภาพมีบทบาทสำคัญมากในการคัดเลือกหุ้นที่ดีที่สุด ปัจจัยเหล่านี้อาจไม่ได้สะท้อนให้เห็นในการคาดการณ์ทางการเงินเนื่องจากยากต่อการพิจารณา อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเหล่านี้มีผลกระทบอย่างมากต่อแนวโน้มของบริษัท คุณจะต้องใส่ใจปัจจัยเชิงคุณภาพที่สำคัญที่สุดเหล่านี้ขณะมองหาหุ้นที่ดีที่สุดที่จะลงทุน:
- คุณภาพของผู้บริหาร
- รูปแบบธุรกิจ
- ข้อได้เปรียบในการแข่งขัน
- ภูมิศาสตร์
- ปัจจัยทางการเมือง
- ตราสินค้าและสิ่งที่จับต้องไม่ได้อื่นๆ
- ความพึงพอใจของลูกค้าที่มีต่อผลิตภัณฑ์ของบริษัท
ข้อสรุป
Warren Buffet เคยกล่าวไว้ว่า 'การลงทุนเป็นเรื่องง่ายแต่ไม่ง่าย' เป้าหมายคือการซื้อหุ้นที่มีมูลค่าต่ำกว่ามูลค่าจริงและมีศักยภาพที่จะเพิ่มราคาขึ้นอย่างมาก ซึ่งเป็นแนวคิดที่เรียบง่าย อย่างไรก็ตาม ปัจจัยทางจิตวิทยาทำให้การลงทุนเป็นเรื่องยาก เนื่องจากนักลงทุนมักมีพฤติกรรมที่ไม่สมเหตุสมผลเนื่องจากอารมณ์ การซื้อหุ้นที่ดีที่สุดนั้นไม่เพียงพอ คุณควรปล่อยให้ตรรกะ ไม่ใช่อารมณ์ เข้ามาครอบงำพอร์ตโฟลิโอของคุณ ดังนั้น การเรียนรู้การเงินเชิงพฤติกรรมจึงเป็นสิ่งที่แยกนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ออกจากนักลงทุนทั่วไป
โดยสรุปแล้ว สิ่งสำคัญคือต้องทราบว่าข้อผิดพลาดบางอย่างเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นการเรียนรู้จากข้อผิดพลาดและการได้รับประสบการณ์จึงเป็นคุณลักษณะที่จำเป็นสำหรับผู้ซื้อขายและนักลงทุน
ตราสารทางการเงินที่เรานำเสนอ โดยเฉพาะ CFD อาจมีความเสี่ยงสูง
โปรดพิจารณาว่าคุณเข้าใจลักษณะของตราสาร และสามารถยอมรับความเสี่ยงในการสูญเสียเงินทุน
การลงทุนตราสารทางการเงินอาจไม่เหมาะสำหรับทุกคน โปรดทำความเข้าใจในความเสี่ยงทั้งหมดก่อนตัดสินใจลงทุน
เนื้อหาของบทความนี้มีไว้เพื่อเป็นข้อมูลทั่วไปและวัตถุประสงค์ในการศึกษาเท่านั้น ความคิดเห็น การวิเคราะห์ ราคา หรือเนื้อหาอื่น ๆ ไม่ควรตีความว่าเป็นคำแนะนำด้านการลงทุนภายใต้กฎหมายของเบลีซ
ประสิทธิภาพที่ผ่านมาไม่ได้บ่งบอกถึงผลลัพธ์ในอนาคตเสมอ และลูกค้าที่ตัดสินใจโดยอิงจากข้อมูลนี้ถือเป็นความเสี่ยงของตนเองทั้งหมด XTB จะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสียหรือความเสียหายใดๆ รวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียงการสูญเสียผลกำไรใดๆ ซึ่งอาจเกิดขึ้นทั้งทางตรงและทางอ้อมจากการใช้หรือการพึ่งพาข้อมูลดังกล่าว การตัดสินใจซื้อขายทั้งหมดควรขึ้นอยู่กับวิจารณญาณที่เป็นอิสระของคุณเสมอ