ในบทเรียนนี้คุณจะได้เรียนรู้:
- เหตุใด ความเสี่ยง:ผลตอบแทน จึงมีความสำคัญต่อการเทรด
- อัตราส่วน ความเสี่ยง:ผลตอบแทน ที่นิยมกันมากที่สุด คือเท่าไร
- ทำไมความน่าจะเป็น จึงเป็นกุญแจสำคัญของทุกกลยุทธ์การซื้อขาย
เทรดเดอร์จำนวนมากใช้อัตราส่วน ความเสี่ยง:ผลตอบแทน เพื่อเปรียบเทียบผลตอบแทนที่คาดหวังจากการซื้อขายกับปริมาณความเสี่ยงที่ยอมรับได้ในการพยายามทำกำไร การคำนวณความเสี่ยง:ผลตอบแทน คุณต้องกำหนดปริมาณเงินที่คุณสามารถสูญเสียได้ในกรณีที่ราคาเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่ผิดคาด (ความเสี่ยง) แล้วนำตัวเลขดังกล่าวมาหารด้วยปริมาณผลกำไรที่คุณคาดหวังเมื่อปิดสถานะ (ผลตอบแทน)
อัตราส่วนที่ได้รับความนิยมมากที่สุด คือ 2:1 3:1 และ 4:1 โดยอาจเปลี่ยนแปลงไปตามกลยุทธ์ของการเทรด แน่นอนว่า ยังมีแง่มุมอื่น ๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อความเสี่ยงในการเทรดด้วย เช่น การจัดการเงินและความผันผวนของราคา อย่างไรก็ตาม การกำหนดอัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทนที่มั่นคง มีบทบาทสำคัญในการช่วยให้คุณบริหารการเทรดได้ประสบผลสำเร็จ
ตัวอย่างของความเสี่ยง: อัตราส่วนผลตอบแทน
สมมติว่า คุณตัดสินใจที่จะซื้อหุ้น ABC และ 'ซื้อ' 100 ล็อตหรือเท่ากับ 100 หุ้น ซึ่งมีราคาหุ้นละ 20 ปอนด์ เท่ากับมีมูลค่าสถานะรวมเป็น 2,000 ปอนด์ โดยคุณคาดว่าราคาจะขึ้นไปเป็นหุ้นละ 30 ปอนด์ คุณจึงตั้งค่าการตัดขาดทุนของคุณไว้ที่ราคา 15 ปอนด์ เพื่อให้แน่ใจว่าการสูญเสียของคุณจะไม่เกิน 500 ปอนด์
ในกรณีนี้ เท่ากับว่าคุณยินดีที่จะเสี่ยง 5 ปอนด์ต่อหุ้น เพื่อสร้างผลตอบแทนที่คาดหวังไว้ที่ 10 ปอนด์ต่อหุ้นเมื่อปิดสถานะ การที่คุณยอมเสี่ยงครึ่งหนึ่งของเป้าหมายกำไร ดังนั้น ความเสี่ยง:ผลตอบแทนของคุณ คือ 2:1 หากเป้าหมายกำไรของคุณ คือ 15 ปอนด์ต่อหุ้น ความเสี่ยง:ผลตอบแทนของคุณจะเป็น 3:1 และคำนวนเช่นนี้ต่อไปตามลำดับ ดังนั้น จึงเป็นไปได้ว่าการซื้อขายที่ทำกำไรได้หนึ่งรายการ จะครอบคลุมการซื้อขายที่ขาดทุนสองสามครั้งหรือมากกว่านั้น
อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่ต้องจำก็คือ ในขณะที่อัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทนสามารถช่วยในการจัดการผลกำไรของคุณ แต่มันก็ไม่ได้บ่งบอกถึงความน่าจะเป็น
ความสำคัญของ ความเสี่ยง:ผลตอบแทน
เทรดเดอร์ส่วนใหญ่จะกำหนดอัตราส่วนความเสี่ยง:ผลตอบแทนไว้ไม่ต่ำกว่า 1:1 มิเช่นนั้น ความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นจะสูงกว่าผลกำไรที่ได้ ซึ่งถือเป็นการเทรดที่มีความเสี่ยงสูง อัตราส่วนความเสี่ยง:ผลตอบแทนในทางบวก เช่น 2:1 เป็นการรับประกันว่าผลกำไรของคุณจะมากกว่าจำนวนเงินที่คุณอาจขาดทุน ซึ่งหมายความว่า แม้คุณจะประสบกับการขาดทุน คุณก็ต้องการกำไรจากการเทรดเพียงหนึ่งครั้งเพื่อทำให้คุณมีกำไรสุทธิ
เราได้ทำตารางด้านล่างเพื่อแสดงความแตกต่างของอัตราส่วนความเสี่ยง:ผลตอบแทนที่จะมีผลกระทบต่อกำไรและขาดทุนทั้งหมดของคุณ ตารางด้านล่างถือว่า 1 เท่ากับ 100 ปอนด์และคุณมีอัตราการเทรดชนะ 50% ตลอดการซื้อขายทั้ง 10 ครั้ง
คุณสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนจากตารางด้านล่างถึงประโยชน์ที่คุณจะได้รับการใช้อัตราส่วนความเสี่ยง:ผลตอบแทนในเชิงบวก รวมถึงกระบวนการที่อัตราส่วนนี้ส่งผลกระทบต่อผลกำไรสุทธิของคุณ
ความน่าจะเป็น คือ กุญแจสำคัญ
เราได้กล่าวถึงความน่าจะเป็นไปแล้วแบบย่อๆ แต่ลองมาศึกษาในเชิงลึกมากขึ้นกัน
สมมติว่า จากการซื้อขาย 100 ครั้งล่าสุดของคุณ มี 60 ครั้งที่ได้กำไร แสดงว่าระบบการซื้อขายของคุณมีความน่าจะเป็นอยู่ที่ 60% ทั้งนี้ ระดับความน่าจะเป็นขึ้นอยู่กับระบบการซื้อขายของคุณเช่นเดียวกับความสามารถในการจัดการอารมณ์ให้ยึดติดอยู่กับระบบนั้นๆ
ยิ่งไปกว่านั้น วัตถุประสงค์หลักของการวิเคราะห์ทุกอย่างก่อนที่จะเข้าเทรด คือ การเพิ่มโอกาสในการเปิดสถานะโดยมีความน่าจะเป็นสูง หากคุณมองหารูปแบบทางเทคนิคที่เฉพาะเจาะจง ก็เท่ากับคุณกำลังพยายามเพิ่มความน่าจะเป็นให้ได้มากที่สุด ทำไมน่ะหรือ? ก็เพราะหากคุณทำตามที่ปรากฏให้เห็น ทิศทางของราคาควรจะเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ โดยการค้นหารูปแบบทิศทางของราคา ทำให้คุณมีโอกาสมองหาจังหวะในการเทรดที่มีความน่าจะเป็นสูงขึ้น
เลือกเพื่อตัวคุณเอง:
เทรดเดอร์แต่ละรายมีกลยุทธ์การซื้อขายและอัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทนที่เหมาะสมที่สุดสำหรับพวกเขา หนึ่งในความท้าทายของการเทรด คือ การหาระบบที่เหมาะกับคุณและสิ่งที่ 'สอดคล้อง' กับหลักการของคุณ
หากมองความเสี่ยงเป็นหลากหลายระดับ คุณคิดว่าตัวเองอยู่ในระดับไหน คุณชอบหลีกเลี่ยงความเสี่ยง ใช้ความระมัดระวัง และช่างคิดคำนวณหรือไม่? หรือคุณเปิดรับความเสี่ยงและเพลิดเพลินกับสารอะดรีนาลีนที่พุ่งพล่าน
สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ การเลือกระบบความเสี่ยงต่อผลตอบแทนที่คุณสามารถจัดการได้และเพิ่มโอกาสในการซื้อขายที่ประสบความสำเร็จให้คุณมากที่สุด ไม่มีกฎตายตัวในเรื่องนี้ คุณเพียงแค่ต้องค้นหากฎเกณฑ์ที่เหมาะสมกับกลยุทธ์ของคุณเอง