ดัชนีตลาดหุ้นคืออะไร? คู่มือพื้นฐานสำหรับนักลงทุนมือใหม่

บทความที่เกี่ยวข้อง:
เวลาอ่าน: 3 นาที
ดัชนีตลาดหุ้น

ดัชนีตลาดหุ้นเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับนักลงทุน ช่วยให้เข้าใจแนวโน้มของตลาด ภาวะเศรษฐกิจ และโอกาสในการลงทุน ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่หรือเทรดเดอร์มากประสบการณ์ การรู้จักดัชนีอย่าง S&P 500, Dow Jones และ Nasdaq 100 จะช่วยให้ตัดสินใจทางการเงินได้อย่างชาญฉลาด มาค้นหาว่าดัชนีทำงานอย่างไร ปัจจัยใดมีผลต่อดัชนี และวิธีการลงทุนในดัชนีเหล่านี้ พร้อมอัปเดตความรู้เพื่อนำหน้าตลาดไปด้วยกัน!

หากคุณเคยดูข่าวการเงินหรือติดตามความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้น คุณคงเคยได้ยินชื่อ S&P 500, Dow Jones หรือ Nasdaq 100 กันมาบ้าง ดัชนีเหล่านี้เรียกว่าดัชนีตลาดหุ้น (Stock Market Index) ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้นักลงทุนวัดผลการดำเนินงานของหุ้นกลุ่มหนึ่ง ติดตามแนวโน้มทางเศรษฐกิจ และตัดสินใจลงทุนได้อย่างมีข้อมูล

พูดง่าย ๆ ดัชนีหุ้นก็เหมือน “กระดานคะแนน” ของตลาดหุ้น โดยจะรวบรวมหุ้นที่เลือกไว้จำนวนหนึ่ง อาจเป็นหุ้นจากประเทศ อุตสาหกรรม หรือกลุ่มธุรกิจเฉพาะทาง แล้วคำนวณภาพรวมผลการดำเนินงานของหุ้นเหล่านั้น บางดัชนี เช่น Dow Jones Industrial Average จะติดตามเพียงไม่กี่บริษัทขนาดใหญ่ ขณะที่ S&P 500 รวมหุ้นมากถึง 500 ตัว เพื่อให้เห็นภาพรวมที่ครอบคลุมยิ่งขึ้น

ดัชนีตลาดหุ้นยังเป็น “ตัวชี้วัดมาตรฐาน” ที่นักลงทุน ผู้จัดการกองทุน และนักวิเคราะห์ใช้ในการประเมินภาพรวมของตลาด ช่วยตอบคำถามสำคัญ เช่น ตลาดกำลังขาขึ้นหรือขาลง? กลุ่มอุตสาหกรรมไหนกำลังเติบโต? หรือเศรษฐกิจของประเทศหนึ่งเปรียบเทียบกับอีกประเทศอย่างไร?

ไม่ว่าคุณจะลงทุนในหุ้นรายตัว, ETF, หรือกองทุนดัชนี การเข้าใจวิธีทำงานของดัชนีตลาดหุ้นจะช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างมั่นใจและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปรู้จักดัชนีตลาดหุ้นแบบครบถ้วน ทั้งวิธีการคำนวณ ประเภทต่าง ๆ ของดัชนี และวิธีการลงทุน เพื่อให้คุณเข้าใจว่าดัชนีเหล่านี้สำคัญอย่างไร และสามารถนำไปใช้สร้างกลยุทธ์การลงทุนของคุณได้อย่างชาญฉลาด

ประเด็นสำคัญ 

  • ดัชนีตลาดหุ้นคือมาตรฐานที่ใช้วัดผลการดำเนินงานของกลุ่มหุ้นเฉพาะ ซึ่งสะท้อนภาพรวมของอุตสาหกรรม เศรษฐกิจ หรือกลุ่มตลาดใดตลาดหนึ่ง
  • ดัชนีทำหน้าที่เป็นตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจ ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับแนวโน้มตลาด ความเชื่อมั่นของนักลงทุน และสภาวะทางการเงินโดยรวม
  • ดัชนีมีหลายประเภท เช่น ดัชนีแบบถ่วงน้ำหนักตามราคา (เช่น Dow Jones), ดัชนีแบบถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าตลาด (เช่น S&P 500), และดัชนีแบบถ่วงน้ำหนักเท่ากัน ซึ่งแต่ละแบบมีวิธีการคำนวณที่แตกต่างกัน
  • ดัชนีไม่ได้อยู่นิ่งตลอดเวลา ส่วนประกอบในดัชนีมีการเปลี่ยนแปลงตามผลการดำเนินงานของบริษัทและเกณฑ์การคัดเลือก
  • นักลงทุนสามารถลงทุนในดัชนีผ่านกองทุน ETF, กองทุนรวม หรืออนุพันธ์ เช่น ฟิวเจอร์สและออปชันที่อิงกับดัชนี
  • ดัชนีระดับโลกที่สำคัญ ได้แก่ S&P 500, Nasdaq 100, Dow Jones Industrial Average, FTSE 100, DAX, Nikkei 225 และ Hang Seng Index ซึ่งสะท้อนสุขภาพเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ
  • ปัจจัยมหภาค กำไรของบริษัท และเหตุการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ สามารถส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการเคลื่อนไหวของดัชนี และต่อการตัดสินใจลงทุน
  • ดัชนีหุ้นถูกใช้อย่างแพร่หลาย ไม่เพียงแค่นักลงทุนหรือเทรดเดอร์ แต่ยังรวมถึงผู้กำหนดนโยบาย ผู้จัดการกองทุน และนักวิเคราะห์ ในการประเมินตลาดการเงินและแนวโน้มเศรษฐกิจ

ดัชนีตลาดหุ้นคืออะไร?

ดัชนีตลาดหุ้นใช้ติดตามผลการดำเนินงานของกลุ่มหลักทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาด โดยทำหน้าที่เป็น ตัวชี้วัดมาตรฐาน สำหรับประเมินสุขภาพของภาคธุรกิจ อุตสาหกรรม หรือเศรษฐกิจโดยรวม

จุดเริ่มต้นของดัชนีตลาดหุ้นสามารถย้อนไปถึงศตวรรษที่ 19 เมื่อ Charles Dow ผู้ก่อตั้ง The Wall Street Journal และ Edward Jones นักข่าว ร่วมกันสร้าง Dow Jones Industrial Average (DJIA) ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในดัชนีที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดในโลก โดยใช้วัดผลประกอบการของบริษัทขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ

แต่ละดัชนีตลาดหุ้นมีองค์ประกอบของหลักทรัพย์ที่แตกต่างกัน โดยคัดเลือกตามเกณฑ์เฉพาะของแต่ละดัชนี
ตัวอย่างเช่น:

Ibex 35 ของสเปน จะรวมเฉพาะบริษัทที่มีสัญชาติสเปน

S&P 500 จะรวมบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ เท่านั้น

ดัชนีจะวัดค่าเป็น “จุด” ซึ่งคำนวณได้หลัก ๆ ด้วย 3 วิธี:

  1. ดัชนีถ่วงน้ำหนักตามราคา (Price-weighted indices): มูลค่าดัชนีจะมาจากราคาเฉลี่ยของหุ้นในดัชนี โดยทุกบริษัทมีน้ำหนักเท่ากัน ไม่คำนึงถึงขนาดหรือมูลค่าตลาด เช่น Dow Jones
  2. ดัชนีถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าตลาด (Capitalization-weighted indices): เป็นวิธีที่ใช้แพร่หลายที่สุด คำนวณโดยอิงจากมูลค่าตลาดของแต่ละบริษัท ทำให้บริษัทที่ใหญ่กว่ามีอิทธิพลต่อดัชนีมากกว่า เช่น S&P 500 และ Nasdaq 100
  3. ดัชนีน้ำหนักเท่ากัน (Equal-weighted indices): ทุกหุ้นในดัชนีมีน้ำหนักเท่ากัน ไม่ว่าราคาหรือมูลค่าตลาดจะเท่าใด วิธีนี้ไม่ค่อยแพร่หลาย เช่น FT 30

ปัจจัยที่มีผลต่อมูลค่าดัชนี

ดัชนีตลาดหุ้น เช่นเดียวกับเครื่องมือทางการเงินอื่น ๆ มีปัจจัยหลายประการที่ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของดัชนี ได้แก่:

  • ผลประกอบการของบริษัท: รายงานทางการเงินรายไตรมาสหรือรายปีส่งผลต่อราคาหุ้น ซึ่งจะมีผลกระทบต่อค่าดัชนีโดยรวม
  • การเปลี่ยนแปลงภายในบริษัท: เหตุการณ์ต่าง ๆ เช่น การควบรวมกิจการ การเข้าซื้อกิจการ หรือการเปลี่ยนแปลงในทีมผู้บริหาร อาจส่งผลต่อประสิทธิภาพของดัชนี
  • ข่าวสารและเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจ: รายงานเศรษฐกิจ การประชุมของธนาคารกลาง และประกาศตัวเลขมหภาคสามารถทำให้ดัชนีผันผวน
  • การเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบของดัชนี: การเพิ่มหรือลบบริษัทออกจากดัชนีอาจส่งผลต่อมูลค่าของดัชนี และสะท้อนถึงสภาพตลาดที่เปลี่ยนไป
  • การเปลี่ยนแปลงของความเชื่อมั่นนักลงทุน: บางครั้ง แม้บริษัทจะรายงานผลประกอบการตรงตามหรือไม่ตรงตามคาด การตอบสนองของตลาดจากความเชื่อมั่นของนักลงทุนก็อาจเป็นปัจจัยขับเคลื่อนดัชนีที่สำคัญที่สุด

ประเภทของดัชนีตลาดหุ้น

ดัชนีตลาดหุ้นสามารถจำแนกตาม ภูมิศาสตร์, อุตสาหกรรม, หรือ ประเภทของสินทรัพย์ ได้ดังนี้:

จำแนกตามภูมิศาสตร์:

  • ดัชนีระดับชาติ (National indices): ติดตามบริษัทในประเทศเดียว
  • ดัชนีระหว่างประเทศ (International indices): รวมบริษัทจากหลายประเทศ
  • ดัชนีระดับโลก (Global indices): ครอบคลุมบริษัททั่วโลก

จำแนกตามอุตสาหกรรม:

  • ดัชนีเฉพาะกลุ่ม (Sectoral indices): เน้นอุตสาหกรรมเฉพาะ เช่น เทคโนโลยี พลังงาน หรือการเงิน
  • ดัชนีระหว่างกลุ่ม (Intersectoral indices): รวมบริษัทจากหลายอุตสาหกรรม

จำแนกตามประเภทสินทรัพย์:

  • ดัชนีหุ้น (Equity indices): ติดตามราคาหุ้น
  • ดัชนีตราสารหนี้ (Fixed-income indices): ติดตามพันธบัตร
  • ดัชนีสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity indices): ติดตามราคาสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ทองคำ น้ำมัน หรือเงิน

ดัชนีหุ้นหลักของโลก

แต่ละประเทศที่พัฒนาแล้วจะมีดัชนีหลักประจำประเทศ ซึ่งสะท้อนเศรษฐกิจและบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่ ต่อไปนี้คือดัชนีสำคัญในแต่ละภูมิภาค:

ดัชนีหุ้นสหรัฐฯ

  • Dow Jones Industrial Average (DJIA): ติดตามบริษัทขนาดใหญ่ 30 แห่งของสหรัฐฯ
  • S&P 500: วัดผลการดำเนินงานของ 500 บริษัทจดทะเบียนที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ
  • Nasdaq 100: รวม 100 บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของสหรัฐฯ
  • Russell 2000: แทนกลุ่มบริษัทขนาดเล็ก 2,000 แห่งในดัชนี Russell 3000
  • S&P/TSX 60: ดัชนีหลักของแคนาดา ครอบคลุมบริษัทขนาดใหญ่ 60 แห่งในตลาดหลักทรัพย์โตรอนโต

ดัชนีหุ้นยุโรป

  • DAX (เยอรมนี): ติดตาม 40 บริษัทใหญ่ที่สุดในตลาดหลักทรัพย์แฟรงก์เฟิร์ต
  • CAC 40 (ฝรั่งเศส): รวม 40 บริษัทที่สำคัญที่สุดในฝรั่งเศส
  • FTSE 100 (สหราชอาณาจักร): ครอบคลุม 100 บริษัทชั้นนำในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอน
  • Euro Stoxx 50: แสดงถึง 50 บริษัทที่ใหญ่ที่สุดในเขตยูโรโซน
  • Ibex 35 (สเปน): รวม 35 บริษัทที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุดในตลาดหุ้นสเปน

ดัชนีหุ้นเอเชีย

  • Nikkei 225 (ญี่ปุ่น): ติดตาม 225 บริษัทชั้นนำในตลาดหลักทรัพย์โตเกียว
  • Shanghai Composite (จีน): แสดงผลรวมของบริษัททั้งหมดในตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้
  • Hang Seng Index (ฮ่องกง): ครอบคลุม 42 บริษัทชั้นนำที่จดทะเบียนในฮ่องกง
  • NIFTY 50 (อินเดีย): ติดตาม 50 บริษัทใหญ่ที่สุดในตลาดหุ้นอินเดีย
 แผนที่โลกแสดงตำแหน่งของ 10 ตลาดหลักทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
 

 แผนที่โลกแสดงตำแหน่งของ 10 ตลาดหลักทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก

วิธีลงทุนในดัชนีหุ้น?

เมื่อลงทุนในดัชนีหุ้น นักลงทุนควรพิจารณาลักษณะเฉพาะของดัชนีที่เลือกเป้าหมายการลงทุน และระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้

เช่นเดียวกับการลงทุนรูปแบบอื่นๆ การลงทุนในดัชนีหุ้นมีความผันผวนตามสภาพตลาด ซึ่งหมายความว่าผลตอบแทนไม่สามารถรับประกันได้ ดังนั้น นักลงทุนควรประเมินความเสี่ยงของตนเองและวางแผนกลยุทธ์การลงทุนให้ชัดเจนก่อนตัดสินใจลงทุน

ลงทุนในดัชนีหุ้นมีทางเลือกไหนบ้าง?

มีสองวิธีหลักในการได้รับการเปิดรับดัชนีหุ้น:

  1. ซื้อหุ้นที่อยู่ในดัชนี เช่น หากคุณต้องการติดตาม S&P 500 อาจซื้อหุ้นอย่าง Apple, Microsoft หรือ Tesla
  2. ลงทุนผ่านกองทุน ETF ซึ่งเลียนแบบผลตอบแทนของดัชนีนั้น เช่น:
  • SXR8.DE (S&P 500)
  • NQSE.DE (Nasdaq 100)
  • R2US.UK (Russell 2000)
  • EUN2.DE (Euro Stoxx 50)
  • LYXIB.ES (Ibex 35)

ไม่เพียงแต่ผู้ลงทุนเท่านั้น แต่ผู้ซื้อขายก็ติดตามผลการดำเนินงานของดัชนีด้วยการซื้อขายตราสาร CFD ที่มีความเสี่ยง ซึ่งสามารถสะท้อนถึงฟิวเจอร์สใน S&P 500, Nasdaq100, DAX และอื่นๆ ได้

ข้อมูลที่น่าจับตา

  • ดัชนีตลาดหุ้นตัวแรกของโลกถูกสร้างขึ้นในปี 1884 โดย Charles Dow ผู้ร่วมก่อตั้ง The Wall Street Journal ซึ่งในช่วงแรกประกอบด้วยบริษัทเพียง 11 แห่ง ส่วนใหญ่เป็นกิจการรถไฟ
  • ดัชนี S&P 500 เปิดตัวในปี 1957 และปัจจุบันกลายเป็นหนึ่งในดัชนีที่ผู้คนให้ความสนใจมากที่สุดในโลก โดยติดตามผลประกอบการของบริษัทขนาดใหญ่ 500 แห่งในสหรัฐฯ
  • ดัชนีหุ้นไม่ได้หมายถึงเฉพาะบริษัทอย่างเดียว บางดัชนี เช่น Bloomberg Commodity Index ติดตามสินค้าคอมโมดิตี้ เช่น ทองคำ น้ำมัน และผลิตภัณฑ์เกษตร แทนหุ้น
  • Nasdaq 100 เน้นเทคโนโลยีเป็นหลัก โดยมากกว่าครึ่งของมูลค่าตามตลาดรวมมาจากบริษัทเทคโนโลยี จึงเป็นตัวชี้วัดสำคัญของอุตสาหกรรมนี้
  • ดัชนีที่แตกต่างกันมีวิธีคำนวณต่างกัน เช่น Dow Jones ใช้วิธีถ่วงน้ำหนักตามราคา (“price‑weighted”) ซึ่งหุ้นที่มีราคาสูงกว่ามีอิทธิพลมากกว่า ขณะที่ S&P 500 ถ่วงตามมูลค่าตลาด (“market‑cap weighted”) ทำให้หุ้นขนาดใหญ่มีผลต่อดัชนีมากกว่า
  • วันที่ 19 ตุลาคม 1987 หรือที่รู้จักในชื่อ Black Monday เป็นวันที่ Dow Jones ร่วงลงถึง 22.6% ในวันเดียว ซึ่งเป็นการลดลงสูงสุดในประวัติศาสตร์
  • Nikkei 225 ซึ่งเป็นดัชนียอดนิยมของญี่ปุ่น มีมาตั้งแต่ปี 1950 และยังคงใช้วิธีถ่วงน้ำหนักตามราคาอยู่ ซึ่งถือเป็นวิธีที่ต่างจากดัชนีสมัยใหม่ส่วนใหญ่
  • ดัชนีหุ้นยังส่งผลต่อค่าเงิน ในกรณีที่ดัชนีหลักอย่าง S&P 500 หรือ DAX มีผลตอบแทนแข็งแกร่ง มักทำให้สกุลเงินของประเทศที่ดัชนีนั้นอยู่แข็งค่าตาม นักลงทุนมักย้ายเงินทุนเข้าสู่ตลาดนั้น
  • Shanghai Composite ของจีน เป็นหนึ่งในดัชนีที่ผันผวนมากที่สุด เนื่องจากมีนักลงทุนรายย่อยจำนวนมาก และนโยบายรัฐบาลที่เปลี่ยนแปลงบ่อย
  • FTSE 100 ของอังกฤษประกอบด้วยบริษัทที่มีรายได้หลักจากต่างประเทศ จึงไม่ได้สะท้อนภาพเศรษฐกิจในอังกฤษทั้งหมดอย่างแม่นยำ

10 เรื่องที่ควรรู้ก่อนลงทุนในดัชนีหุ้น

การลงทุนในดัชนีตลาดหุ้นถือเป็นหนึ่งในวิธีที่น่าเชื่อถือที่สุดในการสร้างความมั่งคั่งในระยะยาว แต่น่าเสียดายที่นักลงทุนจำนวนมากยังไม่ตระหนักถึงพลังที่แท้จริงของการลงทุนแบบดัชนี ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่ในตลาด หรือกำลังมองหาวิธีปรับกลยุทธ์ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น การเข้าใจหลักการสำคัญเบื้องหลังการลงทุนในดัชนีจะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ดีขึ้นอย่างชัดเจน

ด้านล่างคือ 10 เรื่องสำคัญที่คุณควรรู้ ก่อนจะเริ่มลงทุนในดัชนีตลาดหุ้น:

1. ดัชนีตลาดหุ้นสะท้อนแนวโน้มของตลาด

ลองนึกถึงดัชนีตลาดหุ้นว่าเป็นเหมือน "เครื่องวัดอุณหภูมิ" ของตลาด มันไม่ได้บอกอนาคตได้แน่นอน แต่ช่วยให้คุณเห็นว่าตลาดหรือภาคเศรษฐกิจใดกำลังเคลื่อนไหวอย่างไร ดัชนีอย่าง S&P 500, Nasdaq 100 หรือ Dow Jones ติดตามราคาหุ้นของกลุ่มบริษัทชั้นนำ ทำให้นักลงทุนสามารถประเมินภาพรวมของตลาดได้อย่างง่ายดาย

2. คุณไม่สามารถซื้อดัชนีโดยตรงได้ แต่คุณสามารถลงทุนผ่านกองทุนหรือตราสารที่เลียนแบบดัชนีได้

ดัชนีตลาดหุ้นเป็นเพียงค่าทางคณิตศาสตร์ที่คำนวณจากราคาหุ้นในกลุ่มหนึ่ง คุณไม่สามารถซื้อดัชนีเช่น S&P 500 หรือ Dow Jones ได้โดยตรง แต่คุณสามารถลงทุนผ่าน “กองทุนดัชนี” หรือ “ETF” (Exchange-Traded Fund) ที่ออกแบบมาให้สะท้อนผลตอบแทนของดัชนีนั้น ๆ ได้อย่างใกล้เคียงที่สุด

3. พลังของการลงทุนแบบพาสซีฟ

John Bogle ผู้ก่อตั้ง Vanguard ได้เปลี่ยนแนวทางการลงทุนของคนทั่วโลก ด้วยแนวคิด "การลงทุนแบบพาสซีฟ" แทนที่จะพยายามเอาชนะตลาด (ซึ่งแม้แต่นักลงทุนมืออาชีพยังทำได้ยาก) เขาแนะนำให้ลงทุนในกองทุนดัชนีที่มีค่าธรรมเนียมต่ำ และเติบโตไปพร้อมกับตลาดในระยะยาว ซึ่งกลยุทธ์นี้ได้รับความนิยมและพิสูจน์ผลสำเร็จมาหลายสิบปี

4. กองทุน ETF และกองทุนดัชนีคล้ายกันแต่ยังมีความต่าง

ทั้ง ETF และกองทุนดัชนีทั่วไปต่างก็ติดตามผลตอบแทนของดัชนี แต่รูปแบบการซื้อขายแตกต่างกัน:

  • กองทุนดัชนีทั่วไปซื้อขายได้วันละครั้งเมื่อสิ้นวันทำการ เหมือนกองทุนรวมแบบดั้งเดิม
  • ETF สามารถซื้อขายได้ตลอดวัน เหมือนหุ้นในตลาด ซึ่งทำให้มีความยืดหยุ่นสูงกว่า

ทั้งสองแบบเป็นเครื่องมือที่ยอดเยี่ยมสำหรับการลงทุนแบบพาสซีฟ แต่ ETF มักมีค่าธรรมเนียมต่ำกว่าและเหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการความคล่องตัว

5. การกระจายความเสี่ยงมีมาในตัวแล้ว

ข้อดีอย่างหนึ่งของการลงทุนในดัชนีหุ้นคือการได้กระจายความเสี่ยงทันที แทนที่จะซื้อหุ้นบริษัทเดี่ยวๆ ซึ่งเสี่ยงต่อการขึ้นลงของหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง การลงทุนในดัชนีช่วยกระจายเงินลงทุนไปยังหลายสิบหรือหลายร้อยบริษัท เช่น ดัชนี S&P 500 ให้การเปิดรับหุ้นของบริษัทใหญ่ในสหรัฐฯ ถึง 500 บริษัท ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงที่บริษัทใดบริษัทหนึ่งจะส่งผลกระทบต่อพอร์ตของคุณอย่างรุนแรง

6. ค่าธรรมเนียมต่ำช่วยให้คุณเก็บผลตอบแทนได้มากขึ้น

หนึ่งในข้อได้เปรียบของการลงทุนในดัชนีคือค่าธรรมเนียมที่ต่ำกว่ากองทุนที่บริหารแบบแอคทีฟ กองทุนที่มีผู้จัดการซื้อขายหุ้นบ่อยครั้งมักคิดค่าธรรมเนียมสูงกว่า ขณะที่กองทุนดัชนีและ ETF จะติดตามดัชนีแบบพาสซีฟ ทำให้มีอัตราค่าธรรมเนียมต่ำกว่าและช่วยให้นักลงทุนเก็บผลตอบแทนได้มากขึ้น

7. ดัชนีเคลื่อนไหวตามสภาพตลาด

ดัชนีหุ้นไม่ได้เคลื่อนที่อย่างโดดเดี่ยว แต่ตอบสนองต่อข้อมูลเศรษฐกิจ รายงานผลประกอบการของบริษัท อัตราดอกเบี้ย และเหตุการณ์ทางการเมือง เช่น รายงานการจ้างงานที่ดีหรือเงินเฟ้อต่ำอาจทำให้ดัชนีสูงขึ้น ขณะที่ภาวะถดถอยหรือวิกฤตการเงินสามารถทำให้ดัชนีลดลง การเข้าใจปัจจัยเหล่านี้ช่วยให้นักลงทุนตัดสินใจลงทุนในระยะยาวได้ดียิ่งขึ้น

8. ดัชนีไม่ใช่ทั้งหมดเหมือนกัน

ดัชนีแต่ละตัวมีจุดโฟกัสและวิธีการคำนวณต่างกัน บางดัชนีสะท้อนภาพรวมเศรษฐกิจ ขณะที่บางดัชนีเน้นเฉพาะอุตสาหกรรมหรือภูมิภาค เช่น

  • Dow Jones ติดตามแค่ 30 บริษัทใหญ่ ทำให้คัดสรรบริษัทอย่างเข้มงวด
  • Nasdaq 100 เน้นบริษัทเทคโนโลยี ทำให้มีความผันผวนสูง
  • Russell 2000 เน้นบริษัทขนาดเล็ก ที่มีโอกาสเติบโตสูงแต่ความเสี่ยงก็สูงตาม

การรู้ว่าดัชนีนั้นหมายถึงอะไรจะช่วยให้คุณเลือกลงทุนได้เหมาะกับกลยุทธ์ของตัวเอง

9. การจับจังหวะตลาด (Timing) มักไม่สำเร็จแต่การอยู่ในตลาดยาวๆ ช่วยได้

นักลงทุนหลายคนพยายามจับจังหวะซื้อหุ้นตอนราคาต่ำและขายตอนราคาสูง แต่นั่นเป็นเรื่องยาก แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญก็ผิดพลาดบ่อยที่สุด นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จมักใช้กลยุทธ์ลงทุนระยะยาว อยู่ในตลาดผ่านช่วงขึ้นลง แทนการพยายามทำนายการเคลื่อนไหวระยะสั้น นี่คือเหตุผลที่การลงทุนแบบพาสซีฟได้ผลดีในระยะยาว

10. กลยุทธ์ที่ดีสำคัญกว่าการลงทุนแบบสุ่ม

แค่เอาเงินไปใส่ในกองทุนดัชนีไม่พอ คุณต้องมีแผนลงทุน เช่น นักลงทุนบางคนใช้วิธี "ซื้อเฉลี่ยราคา" (Dollar-Cost Averaging) ลงทุนจำนวนเงินเท่า ๆ กันในช่วงเวลาปกติเพื่อช่วยลดความผันผวนของราคา บางคนเลือกจัดสรรเงินลงทุนตามความเสี่ยงที่รับได้ เช่น ผสมกองทุนดัชนีกับพันธบัตรหรือสินทรัพย์อื่น การมีกลยุทธ์ที่ชัดเจนช่วยให้คุณมุ่งมั่นสร้างความมั่งคั่งระยะยาวได้ดีขึ้น ไม่วุ่นวายกับเสียงรบกวนของตลาดในระยะสั้น

บทสรุป

ดัชนีตลาดหุ้นไม่ใช่แค่ตัวเลขบนหน้าจอเท่านั้น แต่เป็นตัวชี้วัดสำคัญของสุขภาพตลาด แนวโน้มเศรษฐกิจ และความเชื่อมั่นของนักลงทุน ไม่ว่าจะเป็นการติดตามตลาดกว้างอย่าง S&P 500 ดัชนีเทคโนโลยีทรงพลังอย่าง Nasdaq 100 หรือดัชนีระดับภูมิภาคอย่าง DAX ของเยอรมนี ดัชนีเหล่านี้ช่วยให้นักลงทุนเข้าใจการเคลื่อนไหวของตลาดและตัดสินใจลงทุนอย่างมั่นใจ

ในบทความนี้ เราได้สำรวจว่าดัชนีตลาดหุ้นคืออะไร วิธีการคำนวณ และเหตุใดจึงมีความสำคัญในโลกการลงทุน นอกจากนี้ยังอธิบายประเภทต่าง ๆ ของดัชนี ตั้งแต่แบบถ่วงน้ำหนักตามราคาไปจนถึงถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าตลาด รวมถึงวิธีที่นักลงทุนสามารถเข้าถึงดัชนีได้ผ่านทาง ETF และกองทุนดัชนี

สำหรับนักลงทุน ไม่ว่าจะเป็นมืออาชีพหรือผู้เริ่มต้น การเข้าใจดัชนีหุ้นถือเป็นการเปลี่ยนเกมอย่างแท้จริง เพราะมันช่วยให้ติดตามตลาดได้ง่ายขึ้น เพิ่มความหลากหลายในพอร์ตการลงทุน และประเมินสภาวะเศรษฐกิจ การติดตามดัชนีอย่างใกล้ชิดจะช่วยให้คุณค้นหาโอกาสบริหารความเสี่ยง และตัดสินใจลงทุนได้อย่างชาญฉลาด

ตลาดมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือ ดัชนีหุ้นจะยังคงเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการก้าวนำในโลกการเงิน ไม่ว่าคุณจะเป็นนักเทรดที่เคลื่อนไหวเร็ว หรือเป็นนักลงทุนระยะยาว การรู้จักและเข้าใจดัชนีเหล่านี้จะมอบข้อได้เปรียบที่มีค่าให้กับคุณ

 

เอกสารฉบับนี้จัดทำขึ้นเพื่อให้ข้อมูลเบื้องต้นและใช้สำหรับการศึกษาเท่านั้น ความคิดเห็น การวิเคราะห์ ราคา หรือเนื้อหาอื่น ๆ ในเอกสารนี้ ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้คำแนะนำในการลงทุน หรือเพื่อให้ความเข้าใจด้านกฎหมายของประเทศ Belize

ผลประกอบการในอดีตไม่ได้เป็นการรับประกันถึงผลประกอบการในอนาคต การกระทำหรือการตัดสินใจใด ๆ ตามข้อมูลในเอกสารนี้ เป็นความเสี่ยงของผู้ดำเนินการเอง XTB ไม่มีส่วนรับผิดชอบต่อความสูญเสีย ความเสียหาย หรือผลกำไรหรือขาดทุนใด ๆ ที่อาจเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือทางอ้อมจากการใช้ข้อมูลในเอกสารนี้

ทุกการตัดสินใจลงทุนควรพิจารณาอย่างรอบคอบ และเป็นความรับผิดชอบของท่านเอง

คำถามที่พบบ่อย

ดัชนีตลาดหุ้นคือการวัดผลการดำเนินงานของกลุ่มหุ้นที่เลือกไว้ ช่วยให้นักลงทุนติดตามแนวโน้มตลาด วิเคราะห์ภาวะเศรษฐกิจ และประเมินความเชื่อมั่นโดยรวมของอุตสาหกรรมหรือภูมิภาคใดภูมิภาคหนึ่ง

ดัชนีหุ้นคำนวณโดยใช้วิธีการที่แตกต่างกัน:

  • ถ่วงน้ำหนักตามราคาตลาด (เช่น Dow Jones): บริษัทที่มีราคาหุ้นสูงกว่าจะมีอิทธิพลมากกว่า
  • ถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าตลาด (เช่น S&P 500): บริษัทขนาดใหญ่จะมีอิทธิพลมากกว่าโดยพิจารณาจากมูลค่าตลาดรวม
  • ถ่วงน้ำหนักเท่ากัน: บริษัททั้งหมดภายในดัชนีมีน้ำหนักเท่ากันโดยไม่คำนึงถึงขนาด

ไม่ได้ คุณไม่สามารถลงทุนในดัชนีได้โดยตรง อย่างไรก็ตาม คุณสามารถลงทุนในกองทุนดัชนี ETF หรือตราสารอนุพันธ์ เช่น ฟิวเจอร์สและออปชัน ที่ติดตามผลการดำเนินงานของดัชนีได้

ดัชนีที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ได้แก่:

  • สหรัฐอเมริกา: S&P 500, ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์, Nasdaq 100, Russell 2000
  • ยุโรป: FTSE 100 (สหราชอาณาจักร), DAX (เยอรมนี), CAC 40 (ฝรั่งเศส), Euro Stoxx 50
  • เอเชีย: Nikkei 225 (ญี่ปุ่น), ดัชนี Hang Seng (ฮ่องกง), Shanghai Composite (จีน), Nifty 50 (อินเดีย)

 

เข้าสู่ตลาดพร้อมลูกค้าของ XTB Group กว่า 1 600 000 ราย

ผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เราให้บริการมีความเสี่ยง เศษหุ้น (Fractional Shares) เป็นผลิตภัณฑ์ที่ให้บริการจาก XTB แสดงถึงการเป็นเจ้าของหุ้นบางส่วนหรือ ETF เศษหุ้นไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ทางการเงินอิสระ สิทธิของผู้ถือหุ้นอาจถูกจำกัด
ความสูญเสียสามารถเกินกว่าเงินที่ฝาก