แนวรับและแนวต้าน

บทความที่เกี่ยวข้อง:
เวลาอ่าน: 1 นาที

สองคำศัพท์ที่คุณจะพบในการเทรดทั่วไป โดยเฉพาะในการวิเคราะห์ทางเทคนิค คือ ระดับแนวรับและแนวต้าน แต่คำเหล่านี้มีความหมายว่าอย่างไรและจะนำไปใช้กับการเทรดของคุณอย่างไร

ในบทเรียนนี้คุณจะได้เรียนรู้:

  • วิธีการค้นหาแนวรับและแนวต้าน
  • การแยกแยะความแตกต่างระหว่างการกลับตัวและการผ่าทะลุของราคา
  • ทำไมระดับราคาที่เจาะจงไว้ จึงเป็นโอกาสที่น่าสนใจในการเข้าทำการซื้อขายในตลาด

สองคำศัพท์ที่คุณจะพบในการเทรดทั่วไป โดยเฉพาะในการวิเคราะห์ทางเทคนิค คือ ระดับแนวรับและแนวต้าน แต่คำเหล่านี้มีความหมายว่าอย่างไรและจะนำไปใช้กับการเทรดของคุณอย่างไร

แนวรับ

คุณจะพบแนวรับได้บริเวณใต้ราคาปัจจุบันของผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่คุณกำลังเทรด มันมักจะเป็นจุดที่ราคาร่วงลงมาจนถึงจุดที่เป็นฐานรองรับ ซึ่งหมายความว่าราคามีแนวโน้มที่จะกลับตัวในบริเวณระดับดังกล่าวแทนที่จะฝ่าทะลุจุดนั้นไป ตัวอย่างเช่น หากคุณสังเกตเห็นว่าราคาตลาดไม่สามารถฝ่าทะลุระดับที่กำหนดไว้ได้ นั่นก็ถือเป็นจุดแนวรับนั่นเอง หลักการง่ายๆก็คือระดับแนวมักจะทำการยับยั้งราคาไม่ให้ร่วงลงมากไปกว่าปัจจุบัน ซึ่งก็คือจุดที่ใช้เป็นฐานรองรับราคา ทั้งนี้ แนวนับเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุด้วยกัน โดยเฉพาะในเชิงจิตวิทยา มันเป็นจุดที่ผู้ซื้อถูกดึงดูดให้กลับเข้ามาทำการในตลาด หรือเป็นจุดที่พวกเขามองว่าราคาตลาดไม่น่าจะร่วงลงไปได้มากกว่านี้อีกแล้ว ดังนั้น พวกเขาจึงคิดที่จะเปิดสถานะซื้อ

แนวต้าน

ระดับแนวต้านอยู่เหนือราคาปัจจุบันของผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่คุณกำลังเทรด มันทำหน้าที่เป็นเพดานสำหรับราคาที่สูงขึ้น ตรงกันข้ามกับแนวรับ ระดับแนวต้านหมายความว่า ราคามีแนวโน้มที่จะถอยกลับจากระดับนี้มากกว่าทะลุผ่านขึ้นไป หลักทั่วไปสำหรับระดับแนวต้าน คือ มันมักจะหยุดราคาจากการเพิ่มขึ้นอีกและทำตัวเสมือนเพดานต้านราคาตลาดไว้ โดยทั่วไปแล้ว มันกระตุ้นให้บรรดาเทรดเดอร์ล็อคตำแหน่งเอาไว้และดึงดูดผู้ขายกลับเข้ามาในตลาด ด้วยตรรกะความคิดที่ว่า 'ฉันไม่คิดว่าราคาตลาดจะขึ้นสูงกว่านี้ ดังนั้น ฉันจะปิดสถานะของฉันโดยการขาย'

วิธีการระบุแนวรับและแนวต้าน
มีหลากหลายเครื่องมือและวิธีการวิเคราะห์หรือระบุระดับแนวรับและแนวต้าน ได้แก่:

ระดับที่ควรจับตามอง

เมื่อแนวรับ/แนวต้านพังทลายลง การปรับตัวหรือการฝ่าทะลุก็มักจะเกิดขึ้นจนกว่าจะเกิดแนวรับและแนวต้านในครั้งถัดไป ตัวอย่างเช่น คู่เงิน EURUSD อาจมีความยากลำบากในการฝ่าทะลุราคา 1.15 มันอาจทดสอบระดับนี้ประมาณสองหรือสามครั้ง ก่อนที่จะกระเด้งกลับตัวลงมาด้านล่างหรืออาจทะลุผ่านไปได้ในที่สุด


การกลับตัวเป็นสถานการณ์เมื่อสินทรัพย์ที่เทรด ทำการรีบาวน์จากระดับที่ถูกกำหนดว่าเป็นแนวรับหรือแนวต้าน ลองดูตัวอย่างแผนภูมิด้านล่าง: เป็นเรื่องยากสำหรับราคาน้ำมัน WTI ที่จะทะลุเหนือ $55 ต่อบาร์เรล ราคาดีดตัวขึ้นสองสามครั้งจากระดับนั้นและถอยลงมาในภายหลัง ส่งผลให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ดังกล่าวลดลง $7 ภายในระยะเวลาอันสั้น
 

ในขณะที่การดีดตัวกลับมักจะเกิดขึ้นได้ง่ายกว่าการฝ่าทะลุ แต่การฝ่าทะลุถือเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่า ตลาดอาจจะเปลี่ยนเทรนด์ได้ อย่างน้อยก็ในระยะสั้น

ช่วงที่ราคาฝ่าทะลุเป็นช่วงเวลาที่สำคัญในการซื้อขาย ที่มักจะนำไปสู่ความผันผวนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ดังที่แสดงในแผนภูมิด้านล่าง คู่เงินคู่หนึ่งได้พยายามอย่างมากที่จะฝ่าระดับลงมาต่ำกว่า 1.35 แต่หลังจากนั้น ในที่สุดมันก็สามารถทำได้อย่างรวดเร็ว

นอกจากนี้ หลังจากแนวรับพังทลายลงแล้ว มันได้กลายมาเป็นแนวต้านใหม่ และในทำนองเดียวกัน เมื่อแนวต้านถูกฝ่าทะลุขึ้นไป มันก็จะกลายมาเป็นระดับแนวรับ

ลองดูภาพตัวอย่างคู่เงิน USDMXN ซึ่งระดับราคา 20.00 เป็นระดับสำคัญที่เทรดเดอร์หลายรายจับตามอง หลังจากทะลุผ่านขึ้นไปได้แล้ว ราคาคู่เงินดังกล่าวก็เพิ่มขึ้น 2 จุดและทำสถิติสูงสุดที่ 22.00 อย่างไรก็ตาม ราคาได้เริ่มลดลงตั้งแต่นั้นมา USDMXN ทะลุระดับต่ำกว่า 20.00 และทำการทดสอบระดับดังกล่าวอีกครั้ง (แนวรับกลายเป็นแนวต้าน) โดยไม่สามารถทะลุขึ้นไปในระดับที่สูงกว่า จากนั้น มันก็เริ่มเปลี่ยนเป็นขาลงมาเรื่อยๆ นั่นเป็นสถานการณ์ทั่วไปที่ควรค่าแก่การมองหา เพราะมันให้โอกาสมากมายแก่นักลงทุนในการเข้าร่วมเทรนด์ ในสถานการณ์เช่นนี้ เทรดเดอร์สามารถขายคู่เงินดังกล่าวหลังจากที่มีการทดสอบระดับราคาที่ 20.00 ในครั้งที่สอง

เข้าสู่ตลาดพร้อมลูกค้าของ XTB Group กว่า 1 600 000 ราย

ผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เราให้บริการมีความเสี่ยง เศษหุ้น (Fractional Shares) เป็นผลิตภัณฑ์ที่ให้บริการจาก XTB แสดงถึงการเป็นเจ้าของหุ้นบางส่วนหรือ ETF เศษหุ้นไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ทางการเงินอิสระ สิทธิของผู้ถือหุ้นอาจถูกจำกัด
ความสูญเสียสามารถเกินกว่าเงินที่ฝาก