Black Friday ไม่ได้เป็นเพียงวันแห่งการลดราคาเพียงวันเดียว — แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของการเริ่มต้นช่วงเวลาทองคำของผู้ค้าปลีกทั่วโลก โดยเฉพาะแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ แม้ว่าจะไม่ใช่ทุกแบรนด์ที่จะมียอดขายพุ่งขึ้นเท่ากัน (ขึ้นอยู่กับประเภทสินค้าและรสนิยมของผู้บริโภค) แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนคือ การใช้จ่ายออนไลน์ยังคงเติบโตต่อเนื่อง และธุรกิจอีคอมเมิร์ซยังคงแข็งแกร่งไม่ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคมากเพียงใดก็ตาม นั่นคือเหตุผลว่าทำไมช่วงเวลานี้ของปีจึงมักจะช่วยหนุนราคาหุ้นของบริษัทอย่าง Amazon, Shopify, Zalando หรือ Allegro ให้ปรับตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
🗓️ Black Friday 2025 คือวันไหน และมีความหมายอย่างไรต่อ “นักลงทุน”?
ในปี 2025 Black Friday ตรงกับวันที่ 29 พฤศจิกายน ซึ่งเป็นสัปดาห์สุดท้ายของเดือนที่คาดว่าจะมีกิจกรรมการจับจ่ายสูงสุดก่อนเข้าสู่ช่วงเทศกาลวันหยุด ตามสถิติที่ผ่านมา หุ้นในกลุ่มค้าปลีกและอีคอมเมิร์ซมักจะ ทำผลงานดีกว่าดัชนี S&P 500 ทั้งในช่วงก่อนและหลังวัน Black Friday ซึ่งเป็นแนวโน้มที่นักเทรดให้ความสนใจในทุกปี
ในฤดูกาลช้อปปิ้งปี 2024 ยอดขายออนไลน์ทั่วโลกเพิ่มขึ้นประมาณ 5% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า แตะระดับกว่า 74 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนในสหรัฐฯ เพียงประเทศเดียว ยอดขายออนไลน์เพิ่มขึ้นมากกว่า 10% เป็น 10.8 พันล้านดอลลาร์
ตามรายงานของ Kepler Analytics สัปดาห์ของ Black Friday ปี 2023 มียอดขายเฉลี่ยของร้านค้าปลีก สูงกว่าสัปดาห์ปกติถึง 93% — ซึ่งสะท้อนถึงระดับการมีส่วนร่วมของผู้บริโภคที่พุ่งสูงอย่างมาก
💹 ผลกระทบต่อ Wall Street และหุ้นอีคอมเมิร์ซ
สำหรับนักลงทุน Black Friday ไม่ใช่แค่เทศกาลช้อปปิ้ง แต่ยังเป็นตัวชี้วัดความเชื่อมั่นของผู้บริโภคแบบเรียลไทม์ ข้อมูลการใช้จ่ายที่แข็งแกร่งสามารถช่วยหนุนความคาดหวังต่อ ผลประกอบการไตรมาส 4 ของบริษัทในกลุ่มค้าปลีกและเทคโนโลยี โดยเฉพาะบริษัทที่มีรายได้ส่วนใหญ่จากการขายออนไลน์
ในปีที่ผ่านมา Mastercard SpendingPulse รายงานว่ายอดขายค้าปลีกโดยรวมเพิ่มขึ้น 3.5% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า แต่ยอดขายอีคอมเมิร์ซพุ่งขึ้นถึง 14.6% ซึ่งแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่ากระแสการเติบโตนั้นกำลังเคลื่อนไปทาง พาณิชย์ดิจิทัล (digital commerce)
📈 คาดการณ์สำหรับปี 2025
นักวิเคราะห์จาก Bain & Company คาดว่าในช่วงสุดสัปดาห์ Black Friday–Cyber Monday ของสหรัฐฯ จะคิดเป็นประมาณ 9% ของยอดขายค้าปลีกทั้งหมดในช่วงเทศกาล โดยคาดว่ายอดขายจะเพิ่มขึ้นราว 11% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า — บ่งชี้ถึงฤดูกาลช้อปปิ้งที่แข็งแกร่ง
ยอดขายออนไลน์ในช่วง Black Friday 2025 ในสหรัฐฯ อาจแตะระดับ 12 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
ขณะที่ยอดใช้จ่ายอีคอมเมิร์ซทั่วโลกในสัปดาห์สุดท้ายของเดือนพฤศจิกายนคาดว่าจะ เพิ่มขึ้นประมาณ 8% เมื่อเทียบกับปี 2024 (ปรับตามเงินเฟ้อแล้ว) หรือประมาณ 80 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จากเดิม 74.4 พันล้านดอลลาร์ในปี 2024
🛒 ใครคือผู้ที่อาจได้ประโยชน์มากที่สุด?
ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา หุ้นในกลุ่มอีคอมเมิร์ซบางบริษัท มักจะทำผลงานดีกว่าดัชนี S&P 500 ทั้งก่อนและหลังวัน Black Friday
หากแนวโน้มเดิมยังคงต่อเนื่อง ยักษ์ใหญ่ในวงการอย่าง Amazon, Shopify, Allegro และ Zalando อาจกลับมาเป็น “ผู้ชนะรายใหญ่” อีกครั้งในฤดูกาลนี้
ขับเคลื่อนโดยความต้องการของผู้บริโภคทั่วโลกและการเติบโตที่หยุดไม่อยู่ของธุรกิจค้าปลีกดิจิทัล

Source: XTB Research
Seasonality & Retail Stocks
For the past 20 years, retail stocks have consistently outperformed the main equities benchmark—especially in the 17 days leading up to Black Friday. The business models of retailers such as Macy’s or Tapestry Inc. mean they tend to benefit more from a strong Q4 retail season than the one‐day event itself. But Black Friday still marks a key seasonal boundary.
Data covers 2004-2024. Source: XTB Research.
🛍️ ผลการเคลื่อนไหวของหุ้นหลังช่วง Black Friday
แม้จะผ่านพ้นช่วง Black Friday ไปแล้วกว่า 3 สัปดาห์ หุ้นในกลุ่มค้าปลีกก็มักยังคง ทำผลงานได้ดีกว่าตลาดโดยรวม — แม้ว่าช่องว่างของผลตอบแทนจะเริ่มแคบลงก็ตาม ซึ่งหมายความว่า ณ วันที่ 7 พฤศจิกายน 2025 เรากำลังยืนอยู่ ตรงจุดเริ่มต้นของช่วงเวลาทองคำสำหรับหุ้นกลุ่มค้าปลีกและอีคอมเมิร์ซ
แน่นอนว่าส่วนหนึ่งมาจากปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “Santa Rally” หรือการปรับตัวขึ้นของตลาดในช่วงปลายปี แต่เหตุผลหลักที่หุ้นค้าปลีกยังคงนำตลาดก็ชัดเจนอยู่แล้ว — เพราะพวกเขาคือ “พลังขับเคลื่อน” ของกระแสการจับจ่ายของขวัญช่วงเทศกาลนั่นเอง 🎁

ข้อมูลครอบคลุมช่วงปี 2004–2024 | แหล่งที่มา: XTB Research
💥 แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ — ผู้ชนะตัวจริงของฤดูกาลนี้
หุ้นกลุ่มใดมีแนวโน้มได้รับประโยชน์มากที่สุดในปีนี้?
โฟกัสหลักอยู่ที่ แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ เนื่องจากเป็นกลุ่มที่ได้รับผลโดยตรงจากปริมาณการซื้อขายที่พุ่งสูงขึ้น แม้แนวโน้มพฤติกรรมผู้บริโภคจะมีการเปลี่ยนแปลงก็ตาม
🇺🇸 สหรัฐอเมริกา: Amazon.com Inc. และ Shopify Inc. — ครอบคลุมตลาดขนาดใหญ่ทั่วโลก
🇪🇺 ยุโรป / CEE: Zalando และ Allegro — หุ้นที่นักลงทุนมักมองข้าม แต่ยังมีศักยภาพเติบโตตามฤดูกาลในปี 2025
แม้ Amazon และ Shopify จะถูกมองว่าเป็นหุ้นพื้นฐานแข็งแกร่งอยู่แล้ว แต่ Zalando และ Allegro ที่มีมูลค่าตลาดต่ำกว่ายังอาจกลายเป็น “ม้ามืด” ในฤดูกาลนี้ได้เช่นกัน
นอกจากแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซแล้ว ยังมีบริษัทที่ได้รับอานิสงส์ทางอ้อมอย่าง Nike, Inc. ซึ่งช่องทางขายตรงสู่ผู้บริโภค (D2C) ของแบรนด์จะถึงจุดพีคในช่วง Black Friday โดยแรงขับจาก การเติบโตของอีคอมเมิร์ซ ความแข็งแกร่งของแบรนด์ และกลยุทธ์ omnichannel ทำให้ Nike ยังคงเป็นหุ้นที่น่าจับตามอง
ในทำนองเดียวกัน หุ้นอย่าง Levi Strauss & Co. และ L’Oreal S.A. ก็อาจมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่น่าสนใจในช่วงเทศกาลนี้เช่นกัน
📊 กราฟหุ้น: Amazon (AMZN.US, D1)
Amazon ปิดไตรมาส 3 ได้อย่างยอดเยี่ยมอีกครั้ง ยืนยันว่าความใหญ่ของบริษัทไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการเติบโต รายได้ของบริษัทเพิ่มขึ้นในอัตราสองหลัก และกำไรสูงกว่าที่วอลล์สตรีทคาดการณ์ไว้อย่างมาก
นอกจากนี้ Amazon ยังให้มุมมองเชิงบวกต่อผลประกอบการไตรมาส 4 — บ่งชี้ว่า ฤดูกาลวันหยุดนี้อาจเป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาทำสถิติใหม่ของบริษัท
ในแง่เทคนิค ราคาหุ้นของ Amazon ปรับฐานลงจากระดับสูงสุดตลอดกาล และกำลัง ทดสอบโซน breakout หลังประกาศงบใกล้ระดับ 242 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นบริเวณเดียวกับจุดสูงสุดในเดือนมกราคม 2025
บริเวณนี้อาจทำหน้าที่เป็น แนวรับสำคัญ (demand zone) ก่อนเริ่มขาขึ้นรอบใหม่
แนวต้านถัดไปอยู่แถว 255 ดอลลาร์ ซึ่งอาจมีแรงขายทำกำไรออกมา แต่ภาพรวมทางเทคนิคยังคงเป็น ขาขึ้น (bullish) อย่างชัดเจน

Source: xStation5
📈 กราฟหุ้น: Shopify (SHOP.US, D1)
ช่วงที่ผ่านมา หุ้นของ Shopify อ่อนตัวลงเล็กน้อย โดยปรับฐานประมาณ 10% จากระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แต่ยังคงเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบขาขึ้นหลัก (ascending channel) อย่างมั่นคง
บริษัทนี้ยังคงเป็น “หัวใจหลัก” ของระบบนิเวศอีคอมเมิร์ซระดับโลก — ที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานให้กับร้านค้าออนไลน์นับล้านแห่งทั่วโลก
ด้วยความเป็นฤดูกาลแห่งการช้อปปิ้งที่กำลังมาถึง จึงมีโอกาสที่ แรงซื้อจะกลับเข้ามาอีกครั้ง เมื่อราคาหุ้นเข้าใกล้แนวรับล่างของกรอบแนวโน้มนี้
การดีดตัวขึ้นจากบริเวณดังกล่าวจะสอดคล้องกับรูปแบบในอดีต — เพราะในเดือน พฤศจิกายนและธันวาคม มักเป็นช่วงเวลาที่ หุ้น Shopify ทำผลงานได้ดีที่สุดของปี
แรงหนุนหลักมาจาก ปริมาณการขายของผู้ค้าออนไลน์ที่พุ่งสูง ในช่วง Black Friday และ Cyber Monday นั่นเอง

Source: xStation5
Allegro (ALE.PL, D1)
Allegro remains the e-commerce powerhouse of Central and Eastern Europe, with operations spanning Poland and neighboring markets that have posted robust GDP and private consumption growth in recent years.
Falling interest rates from the National Bank of Poland and a steady upward trend in real wages may create a perfect environment for renewed consumer activity — and for Allegro’s dominant platform to benefit.
Technically, the stock is defending a major support zone around PLN 34, defined by the 200-day EMA (red line). A successful rebound here could confirm the return of bullish momentum in CEE retail tech leaders.

Source: xStation5
👗 กราฟหุ้น: Zalando (ZAL.DE, D1)
ครั้งหนึ่ง Zalando เคยเป็น “ดาวเด่น” แห่งเรื่องราวการเติบโตของยุโรป แต่ตั้งแต่ปี 2021 หุ้นกลับเผชิญกับแนวโน้มขาลงอย่างต่อเนื่องและยังไม่สามารถพลิกฟื้นได้ อย่างไรก็ตาม บริษัทนี้ยังคงครอง ตำแหน่งแบรนด์ชั้นนำในตลาดแฟชั่นออนไลน์ยุโรป ด้วยฐานลูกค้าที่ใช้งานอยู่หลายล้านราย และเครือข่ายโลจิสติกส์ที่มีประสิทธิภาพสูง
Black Friday อาจเป็นตัวเร่งสำคัญ (catalyst) ที่ช่วยให้แนวโน้มของหุ้นกลับทิศขึ้นได้อีกครั้ง — หากมีสัญญาณบวกจาก ปริมาณคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้น หรือการฟื้นตัวของอัตรากำไร ก็อาจจุดกระแส แรงซื้อระยะสั้น (relief rally) หลังจากหลายไตรมาสของการอ่อนตัวต่อเนื่อง
นักลงทุนมัก “กลับมาให้ความสนใจ Zalando” ในช่วงฤดูกาลช้อปปิ้งปลายปี — และปีนี้ก็อาจไม่ใช่ข้อยกเว้นเช่นกัน

Source: xStation5
กราฟหุ้น: Nike (NKE.US, D1)
หุ้นของ Nike ร่วงลงต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่เอ็กซ์โปเนนเชียล 200 วัน (200-day EMA) อีกครั้ง และกลับเข้าสู่ช่วงของการปรับฐานค่อนข้างแรง อย่างไรก็ตาม เรื่องราวของแบรนด์ระดับโลกนี้ยัง ห่างไกลจากคำว่าจบลง
บริษัทกำลังก้าวเข้าสู่ช่วง Black Friday พร้อมศักยภาพที่จะสร้างความประหลาดใจทั้งในด้าน มุมมองของตลาด (sentiment) และ ปัจจัยพื้นฐาน (fundamentals)
ตามสถิติ Black Friday เป็นช่วงเวลาที่ Nike ทำยอดขายผ่านช่องทางตรงถึงผู้บริโภค (D2C) ได้สูงสุด โดยเฉพาะผ่าน เว็บไซต์ Nike.com และแอป SNKRS
โมเดล Omnichannel ที่ผสานพลังของการเข้าถึงออนไลน์ ความแข็งแกร่งของแบรนด์ และความพิเศษเฉพาะของสินค้า ทำให้บริษัทสามารถ เพิ่มอัตรากำไร (margin) ได้มากขึ้น ด้วยการลดการพึ่งพาตัวแทนจำหน่าย
เพิ่มความน่าสนใจยิ่งขึ้นคือ คำตัดสินของศาลสูงสหรัฐ (U.S. Supreme Court) ที่คาดว่าจะมีขึ้นภายในเดือนมกราคม 2026 เกี่ยวกับ การเปลี่ยนนโยบายภาษีนำเข้า ภายใต้การประกาศของโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งอาจเป็นผลบวกต่อบริษัทที่มีต้นทุนภาษีนำเข้าสูงอย่าง Nike และช่วยหนุนแนวโน้มกำไรในอนาคต
ด้วย ความแข็งแกร่งของแบรนด์ระดับโลก และ แรงหนุนตามฤดูกาล, หุ้น Nike อาจกำลังเข้าใกล้จุด “ตั้งหลัก” อีกครั้งก่อนเข้าสู่ช่วงเทศกาลปลายปีนี้

Source: xStation5
US OPEN: ความเสี่ยงกลับมาอีกครั้ง 📉 ตลาดปรับราคาโดยคาดการณ์ถึง การสิ้นสุดของการปิดรัฐบาลสหรัฐฯ
ความต้องการชิปที่เพิ่มขึ้น หนุนการเติบโตของ TSMC
ชาวอเมริกันกว่า 40 ล้านคนขาดอาหาร — ตลาดจะได้รับผลกระทบอย่างไร?
สรุปข่าวเช้า