เหตุการณ์สำคัญที่สุดของเดือนนี้ได้ผ่านไปแล้ว: เฟดตัดสินใจปรับลดดอกเบี้ยครั้งแรกของปี
วันนี้ยังเป็น “Triple Witching Day” วันที่สัญญาฟิวเจอร์สและออปชันบนหุ้นและดัชนีหมดอายุ ซึ่งเป็นสัญญาณสิ้นสุดไตรมาสด้วย ช่วงเวลาดังกล่าวมักทำให้ตลาดการเงินผันผวนมากขึ้น เมื่อดัชนีและทองคำอยู่ใกล้ระดับสูงสุดในประวัติศาสตร์ สถานการณ์จึงน่าจับตามากขึ้นไปอีก
สัปดาห์หน้าจะเต็มไปด้วยการประกาศดัชนี PMI เบื้องต้น และการตัดสินใจนโยบายการเงินของธนาคารกลางสวีเดนและสวิตเซอร์แลนด์ ขณะที่ในสหรัฐฯ ความสนใจจะอยู่ที่ตัวเลขเงินเฟ้อ PCE ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่เฟดให้ความสำคัญ แต่ก็น่าจะมีผลกระทบต่อตลาดน้อยกว่าการประชุมเฟดครั้งล่าสุด ดังนั้น ในช่วงวันถัดไป ตลาดที่ควรจับตาได้แก่ ทองคำ (GOLD), EURCHF และ US100
เริ่มเทรดทันทีวันนี้ หรือ ลองใช้บัญชีทดลองแบบไร้ความเสี่ยง
เปิดบัญชี ลองบัญชีเดโม่ ดาวน์โหลดแอปมือถือ ดาวน์โหลดแอปมือถือGOLD
ราคาทองคำแตะระดับสูงสุดใหม่ในประวัติศาสตร์ในวันที่เฟดประกาศลดดอกเบี้ย แม้เฟดส่งสัญญาณว่ามีแนวโน้มลดต่อ แต่ราคาทองกลับมีแรงขายทำกำไร ทำให้เข้าสู่การปรับฐาน ความต้องการเริ่มชะลอในกรอบ $3,600–$3,700 แม้สถาบันการเงินรายใหญ่จะปรับเพิ่มคาดการณ์ราคาทองปลายปีนี้ก็ตาม
วันพฤหัสบดีจะเป็นจุดสำคัญของทอง เนื่องจากกรรมการเฟด 4 รายจะออกมาแสดงท่าที ซึ่งอาจช่วยให้เข้าใจน้ำเสียงของการตัดสินใจครั้งล่าสุดมากขึ้น และในวันศุกร์ ตัวเลขเงินเฟ้อ PCE จะถูกเผยแพร่
EURCHF
วันพฤหัสบดีจะมีการตัดสินใจอัตราดอกเบี้ยของสวิตเซอร์แลนด์ แม้อัตราเงินเฟ้ออยู่เพียง 0.2% แต่ประเทศก็หลีกเลี่ยงภาวะเงินฝืดได้ อย่างไรก็ตาม ต้นทุนการนำเข้าที่สูงยังคงเป็นแรงกดดันต่อเศรษฐกิจ
Martin Schlegel ประธาน SNB เคยระบุว่าการลดดอกเบี้ยต่ำกว่าศูนย์จะสร้างความเสี่ยงใหม่ ๆ ให้เศรษฐกิจ ดังนั้นตลาดคาดว่าอัตราดอกเบี้ยจะคงที่ แม้เงินฟรังก์ที่อ่อนค่าจะช่วยเศรษฐกิจ แต่ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ทั่วโลกยังหนุนให้เงินฟรังก์เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย มีเพียงการแข็งค่าชัดเจนของเงินยูโรเท่านั้น ที่อาจทำให้ EUR/CHF หลุดออกจากช่วง consolidation ที่ดำเนินมาตั้งแต่เดือนเมษายน
US100
ดัชนีหุ้นสหรัฐฯ ยังเดินหน้าทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง เฟดยืนยันชัดเจนว่าไม่กังวลภาวะถดถอย ประกอบกับความเป็นไปได้ของการลดดอกเบี้ยต่อไป ทำให้ยังมีแรงหนุนเชิงบวกต่อดัชนี
ตามสถิติ เดือนกันยายนมักไม่ใช่เดือนที่ดีสำหรับวอลล์สตรีท แต่ปีก่อนดัชนีก็ปรับขึ้น และปี 2025 กำลังเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ปัจจัยสำคัญยังคงอยู่ที่หุ้น semiconductor โดยเฉพาะ Nvidia ที่กำลังเผชิญปัญหาในจีน และ Intel ที่เพิ่งได้ Nvidia เข้ามาลงทุนเชิงกลยุทธ์ ทำให้ราคาหุ้น Intel พุ่งถึง +30% ในวันเดียว