เวลา 13:30 BST เราจะได้เห็นรายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตร (Non-Farm Payrolls) ของสหรัฐฯ ประจำเดือนสิงหาคม นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ตัวเลขการจ้างงานที่ 75,000 ตำแหน่ง เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 73,000 ในเดือนกรกฎาคม อัตราการว่างงานคาดว่าจะขยับขึ้นเป็น 4.3% จาก 4.2% ขณะที่รายได้เฉลี่ยต่อชั่วโมงคาดว่าจะลดลงเล็กน้อยเหลือ 3.8% ต่อปี จาก 3.9% ในเดือนกรกฎาคม
นอกจากนี้ ตลาดยังจับตาการปรับทบทวนตัวเลขครั้งก่อน หลังจากที่มีการปรับลดรวม 258,000 ตำแหน่งในเดือนพฤษภาคมและมิถุนายน การปรับทบทวนดังกล่าวเป็นชนวนให้ Donald Trump ไม่พอใจ และส่งผลให้เขาสั่งปลดหัวหน้าสำนักงานสถิติแรงงานสหรัฐฯ (Bureau of Labor Statistics) ที่รับผิดชอบรายงานนี้ นับตั้งแต่นั้นมาก็เกิดความขัดแย้งระหว่างประธานาธิบดีกับ Fed จนนำไปสู่การปรับความคาดหวังเรื่องดอกเบี้ยของตลาด และทำให้มีการคาดการณ์การลดดอกเบี้ยหลายครั้ง
เริ่มเทรดทันทีวันนี้ หรือ ลองใช้บัญชีทดลองแบบไร้ความเสี่ยง
เปิดบัญชี ลองบัญชีเดโม่ ดาวน์โหลดแอปมือถือ ดาวน์โหลดแอปมือถือโดยปกติแล้ว การเมืองและการจ้างงานไม่ใช่สิ่งที่จะมารวมกันบ่อยนัก แต่ผลกระทบต่อตลาดการเงินจนถึงตอนนี้ยังค่อนข้างจำกัด ทั้งพันธบัตรและหุ้นสหรัฐฯ ยังคงทำผลงานได้ดีกว่าตลาดโลก อย่างไรก็ตาม ความสำคัญของรายงานการจ้างงานไม่ได้อยู่เพียงในมิติการเงิน ทำให้ความคาดหวังต่อรายงานครั้งนี้สูงมาก
รายงานที่อาจเป็น “จุดเปลี่ยน” ของปี 2025
มีความรู้สึกว่ารายงานเดือนสิงหาคมอาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของตลาดการเงิน หากตัวเลขใกล้เคียงกับที่คาดการณ์ จะสะท้อนว่าตลาดแรงงานสหรัฐฯ กำลังชะลอตัวอย่างมาก และจะเป็นหลักฐานล่าสุดที่สอดคล้องกับข้อมูลแรงงานที่อ่อนแอในช่วงที่ผ่านมา ทั้งการเปิดรับสมัครงานที่ลดลง ตัวเลขจ้างงานภาคเอกชน (ADP) ที่เพียง 54,000 ตำแหน่งเมื่อเดือนที่แล้ว และการขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกที่พุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมิถุนายน ภาพรวมทั้งหมดบ่งชี้ว่าตลาดแรงงานกำลังอ่อนแรงลงอย่างรวดเร็ว
ฉากหลังของตลาด
ก่อนการประกาศรายงาน อัตราดอกเบี้ยล่วงหน้าของ Fed Fund ได้สะท้อนการคาดการณ์ว่ามีโอกาส 100% ที่ Fed จะลดดอกเบี้ยเดือนกันยายน อีกทั้งยังมีโอกาส 87% ในเดือนธันวาคม และ 57% ในเดือนตุลาคม ระหว่างนี้จนถึงต้นปี 2027 ตลาดคาดว่าจะมีการลดดอกเบี้ยรวม 6 ครั้ง ซึ่งมากกว่าที่คาดในสหราชอาณาจักรและยุโรป ในสหราชอาณาจักรอัตราดอกเบี้ยกลางระยะยาวอาจใกล้ 4% ขณะที่ในสหรัฐฯ คาดว่าอยู่ต่ำกว่า 3%
ความเสี่ยงจากตัวเลข NFP ที่ออกมาสูงกว่าคาด
เนื่องจากตลาดได้ปรับความคาดหวังดอกเบี้ยสหรัฐฯ ลงอย่างรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมา ความเสี่ยงใหญ่ที่สุดคือหากตัวเลข NFP ออกมาสูงกว่าที่คาดไว้ แม้ว่าประวัติศาสตร์จะบ่งชี้ว่าตัวเลข NFP มักจะอ่อนแรงในเดือนสิงหาคม แต่ก็มีนักวิเคราะห์บางส่วนที่คาดว่ารายงานเดือนนี้อาจแข็งแกร่งกว่าคาด และสะท้อนว่าตลาดแรงงานยังไม่อ่อนแอมากนัก
มีเหตุผลหลายประการที่อาจทำให้การจ้างงานแข็งแกร่งกว่าที่คาด:
-
อัตราการมีส่วนร่วมในกำลังแรงงาน (labour force participation) กำลังลดลง ซึ่งอาจทำให้อัตราการว่างงานดูต่ำกว่าความจริง เพราะคนที่ออกจากตลาดแรงงานจะไม่ถูกนับว่าเป็นผู้ว่างงาน ตัวเลขล่าสุดลดลงสู่ระดับต่ำสุดตั้งแต่ปี 2023 ถือว่าน่าจับตามอง
-
สัญญาณเศรษฐกิจอื่นยังคงเป็นบวก เช่น ดัชนี ISM ภาคบริการที่ปรับขึ้นสู่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่กุมภาพันธ์ โดยได้แรงหนุนจากคำสั่งซื้อใหม่และกิจกรรมทางธุรกิจที่พุ่งขึ้น ซึ่งเป็นสัญญาณเชิงบวกในอนาคต ตลาดแรงงานถือเป็นตัวชี้วัดที่ล่าช้า หากดัชนีความเชื่อมั่นปรับตัวดีขึ้น อาจสะท้อนว่าความอ่อนแอของแรงงานช่วงหลังเป็นเพียงการชะงักชั่วคราว
ผลกระทบต่อตลาด
สิ่งที่ควรสังเกตคือ S&P 500 เพิ่งทำสถิติสูงสุดใหม่เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา และจนถึงปี 2025 พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ทำผลงานดีกว่าพันธบัตรยุโรปและอังกฤษทุกช่วงอายุ หากรายงาน NFP ไม่อ่อนแออย่างที่หลายคนกังวล อาจเกิดผลกระทบ 3 ประการ:
-
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ พุ่งขึ้นแรง และอาจทำให้ตลาดลดความคาดหวังเรื่องการปรับลดดอกเบี้ยในอนาคต แม้ว่าการลดดอกเบี้ยเดือนกันยายนแทบจะแน่นอนแล้วก็ตาม
-
หุ้นปรับตัวลง ฤดูกาลประกาศผลประกอบการ โดยเฉพาะการปรับประมาณการขึ้น เป็นแรงหนุนสำคัญของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในช่วงที่ผ่านมา แต่เมื่อฤดูกาลใกล้สิ้นสุด หากความคาดหวังการลดดอกเบี้ยถูกลดทอนลง ก็อาจกดดันหุ้น โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยี “Magnificent 7” ที่เป็นแรงขับเคลื่อนหลักของ S&P 500 ในรอบล่าสุด
-
ราคาทองคำอาจร่วง หนึ่งในปัจจัยที่หนุนราคาทองคำให้ทำจุดสูงสุดใหม่คือความคาดหวังการลดดอกเบี้ย หากตลาดลดเดิมพันต่อการลดดอกเบี้ย ความกังวลเรื่องเงินเฟ้ออาจบรรเทาลง ซึ่งจะกดดันทองคำในฐานะสินทรัพย์ป้องกันเงินเฟ้อ
โดยรวมแล้ว รายงานครั้งนี้มีน้ำหนักสูงต่อทั้งตลาดการเงินและการเมือง และอาจสร้างแรงสั่นสะเทือนหากประธานาธิบดี Trump ไม่พอใจกับสิ่งที่เขาเห็น
กราฟ 1: S&P 500 และดัชนีผลตอบแทนรวมของ Magnificent 7 ตั้งแต่ต้นปี แสดงการเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกัน ช่วงหลัง Magnificent 7 ทำผลงานดีกว่า S&P 500 หากรายงานการจ้างงานออกมาดีเกินคาดและกดดันหุ้นกลุ่มนี้ ก็อาจสร้างผลกระทบเชิงลบต่อดัชนีโดยรวมได้
ที่มา: XTB and Bloomberg
โดย Kathleen Brooks, ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย XTB