ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นเกือบ 12% ในช่วงพีกของวันนี้ จากความตึงเครียดที่ทวีความรุนแรงระหว่างอิหร่านและอิสราเอล
แม้ราคาจะอ่อนตัวลงจากจุดสูงสุด แต่ยังยืนเหนือระดับก่อนเกิดภาวะตื่นตระหนกจากสงครามการค้าในยุคโดนัลด์ ทรัมป์ ขณะที่สถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ล่าสุดอาจส่งสัญญาณถึงการเปลี่ยนเทรนด์ระยะยาวของตลาดพลังงาน
เริ่มเทรดทันทีวันนี้ หรือ ลองใช้บัญชีทดลองแบบไร้ความเสี่ยง
เปิดบัญชี ลองบัญชีเดโม่ ดาวน์โหลดแอปมือถือ ดาวน์โหลดแอปมือถือ
น้ำมันทะลุแนวต้าน หลังข่าวนักการทูตสหรัฐฯ ถอนตัว จุดชนวนความตึงเครียด
สัญญาน้ำมันดิบ (OIL) ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องจากระดับต่ำสุดบริเวณ 62–63 ดอลลาร์/บาร์เรล ก่อนจะทะลุแนวต้าน 66–67 ดอลลาร์ หลังมีรายงานว่านักการทูตสหรัฐฯ เริ่มถอนตัวออกจากสถานทูตในตะวันออกกลาง
ที่มา: xStation5
ความขัดแย้งปะทุ จุดจบการเจรจา – จุดเริ่มต้นของสงคราม?
การโจมตีทางอากาศของอิสราเอลต่อโครงสร้างพื้นฐานนิวเคลียร์ของอิหร่าน สร้างความประหลาดใจอย่างมาก แม้จะมีสัญญาณเตือนล่วงหน้าจากการถอนตัวของเจ้าหน้าที่ทูตสหรัฐฯ
มีรายงานว่าการโจมตีครั้งนี้คร่าชีวิตเสนาธิการสูงสุดของอิหร่าน พร้อมกับนักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์หลายราย และสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงต่อศูนย์พัฒนาเทคโนโลยีนิวเคลียร์ในเมืองนาทานซ์
-
นายกรัฐมนตรีอิสราเอล เบนจามิน เนทันยาฮู ระบุว่า “ปฏิบัติการจะดำเนินต่อไปไม่ว่าต้องใช้เวลากี่วันก็ตาม” และชี้ว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ “ชี้ชะตาประวัติศาสตร์ของอิสราเอล”
-
อิหร่านตอบโต้ทันที โดยประกาศว่า “นี่คือการล้ำเส้นแดงทุกเส้น” พร้อมให้คำมั่นว่าจะ “ตอบโต้โดยไร้ขีดจำกัด”
ช็อกด้านอุปทาน ดันราคาน้ำมันพุ่ง – เสี่ยงซ้ำรอยปี 2020
อิหร่านมีกำลังการผลิตน้ำมันราว 3 ล้านบาร์เรลต่อวัน ความขัดแย้งที่รุนแรงขึ้นจึงกลายเป็นความเสี่ยงเชิงระบบต่ออุปทานพลังงานโลก แม้ว่า OPEC จะพยายามเพิ่มการผลิตเพื่อลดแรงกดดัน แต่ในขณะเดียวกัน การผลิตในสหรัฐฯ อาจเผชิญแนวโน้มลดลงตามการคาดการณ์
สิ่งที่น่ากังวลที่สุดคือ ช่องแคบฮอร์มุซ (Strait of Hormuz) ซึ่งเป็นเส้นทางลำเลียงน้ำมันกว่า 20% ของโลก หากอิหร่านเลือกตอบโต้ด้วยการปิดช่องแคบนี้ อาจนำไปสู่การหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานโลก และยิ่งดันราคาน้ำมันให้พุ่งสูงขึ้นอีกระลอก
